พลังงานไฟฟ้าในร่างกาย

         หากดื่มน้ำไม่เพียงพอ  อาจมีปัญหาเกี่ยวกับไต และปวดหัว    หากเราออกกำลังกายไม่เพียงพอ   อาจมีกระดูกที่ไม่แข็งแรง และร่างกายอ่อนเพลีย    หากเราได้รับแสงแดดไม่เพียงพอ  อาจส่งผลรบกวนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน    หากเรานอนหลับไม่เพียงพอ  อาจมีผลต่อสมอง และเกิดการอักเสบในร่างกาย       ร่างกายเราไม่ต้องการยา  ไม่ต้องการอาหารเสริมด้วยซ้ำ  เราเพียงแค่ต้องการน้ำ และการออกกำลังกาย และแสงแดด และนอนหลับให้สบาย       มีอีกสิ่งหนึ่งที่เราทุกคนต้องการ แต่ไม่ได้รับ   นั่นก็คือ อิเล็กตรอน     เป็นเพราะวิถีชีวิตของเรา ทำให้เราขาดอิเล็กตรอน      อิเล็กตรอนมาจากดวงอาทิตย์   เดินทางผ่านอวกาศ และเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลก     จากที่นั่น พวกมันเดินทางลงมายังพื้นโลกด้วยการเกิดฟ้าผ่า  และทำให้โลกกลายเป็นแหล่งอิเล็กตรอนขนาดใหญ่       สำหรับมนุษย์เรา มี 3 วิธี ที่เราได้รับการออกแบบมาเพื่อดูดซับอิเล็กตรอน  คือ ผ่านผิวหนัง, ผ่านอาหาร, ผ่านอากาศ       น่าเสียดายที่ทั้ง 3 วิธีเหล่านี้ ใช้ไม่ได้ผลสำหรับพวกเราส่วนใหญ่อีกต่อไป  เนื่องจากวิถีชีวิตของเรา โดยการใช้พลาสติก และยาง และวัสดุสังเคราะห์

       

      เท้าของเราไม่ได้สัมผัสกับพื้นโลกโดยตรงอีกต่อไป    ยกเว้นเวลาเราไปเที่ยวที่ชายหาด หรืออาจจะไปปิกนิก      แทนที่จะให้อิเล็กตรอนไหลผ่านเท้าเปล่า  ผ่านเส้นเมอริเดียน และอวัยวะของเรา  แต่มันกลับย้อนกลับจากอวัยวะของเรา ผ่านผิวหนัง  ผ่านเส้นเมอริเดียน กลับสู่สภาพแวดล้อม นอกจากนี้  เรายังสามารถได้รับอิเล็กตรอนผ่านทางอาหาร  ทั้งพืชและเนื้อสัตว์  เมื่ออาหารเหล่านี้ยังสดๆอยู่ เมื่อเยื่อหุ้มเซลล์ยังสมบูรณ์อยู่   นั่นหมายความว่า  เมื่อพืช หรืออาหารเนื้อสัตว์สดๆอยู่   เซลล์แต่ละเซลล์ ซึ่งเปรียบเสมือนแบตเตอรี่ก้อนเล็ก ๆ  ยังมีประจุไฟฟ้าเล็กน้อยอยู่     แต่เมื่อเราปรุงอาหาร   นอกจากจะทำลายจุลินทรีย์ที่ดีแล้ว  ยังทำลายเยื่อหุ้มเซลล์  ซึ่งจะทำให้อาหารถูกดูดซึมได้มากขึ้น    แต่ผลที่ตามมาโดยไม่ได้ตั้งใจก็คือ  อิเล็กตรอนทั้งหมดระเหยออกจากอาหาร    ดังนั้น จึงไม่มีอิเล็คตรอนอยู่ในอาหาร  ยกเว้น อาหารดิบ เช่น สลัด หรือผลไม้      ช่องทางสุดท้าย คือ อากาศ    เมื่อร้อยปีก่อน บรรยากาศมีไอออนลบมากกว่าไอออนบวก 20%

         นั่นหมายความว่า  ในอากาศมีอิเล็กตรอนมากถึง 20%     ในอีกร้อยปีต่อมา ตอนนี้บรรยากาศขาดอิเล็คตรอน 20%    นั่นหมายความว่าทุกครั้งที่เราหายใจ  แทนที่จะดูดซับอิเล็กตรอนผ่านปอด  เราจะสูญเสียมันไปทางปอด     นี่คือเหตุผลที่เราทุกคนขาดอิเล็กตรอน เนื่องจากเส้นทางทั้ง 3 ที่ควรให้อิเล็กตรอนกับเรา  กลับกำลังทำงานย้อนกลับ     เรากำลังสูญเสียอิเล็กตรอนไปตามเส้นทางเดียวกันเหล่านั้น      นักวิทยาศาสตร์, แพทย์ และคนทั่วไป ต่างกำลังตระหนักว่า  เราจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับโลกอีกครั้งเพื่อรับอิเล็กตรอนที่เราต้องการเพื่อสุขภาพ    คุณอาจเคยได้ยินเรื่องนี้ เรียกว่า grounding or earthing   

         ผู้ที่เติบโตในเมืองใหญ่  เช่น กรุงเทพมหานคร และอาศัยอยู่ในคอนโดสูงๆ     หากคุณอาศัยอยู่สูงกว่าระดับพื้นดินทุกๆ 1 ฟุต  อิเล็กตรอนจะลดลง 100โวลต์     หากชั้น 1 ของอพาร์ตเมนต์สูงประมาณ 10 ฟุต ที่ชั้น 8 จะสูง 80 ฟุต    หากอิเล็กตรอนลดลง 100 โวลต์ต่อฟุต    หมายความว่า  คนที่อาศัยอยู่ที่ชั้น 8 จะเติบโตขึ้นที่ 8,000 โวลต์ขั้วบวก    นั่นหมายความว่า  แค่นั่งอยู่ในอพาร์ทเมนต์คุณก็จะถูกดึงอิเล็กตรอนออกจากร่างกาย 8,000 โวลต์     

      สารทุกชนิดมีความสามารถในการกักเก็บ หรือปล่อยอิเล็กตรอน     หากนำสารสองชนิดมาถูกัน อิเล็กตรอนจะส่งผ่านจากจากวัตถุหนึ่ง  ไปยังอีกวัตถุหนึ่ง       ผิวหนังของมนุษย์ดึงดูดอิเล็กตรอนได้ต่ำมาก     เราสัมผัสทุกอย่างกับผิวหนังเรา  และมันจะสูญเสียอิเล็กตรอนออกจากร่างกายเรา   

         เมื่อมีคนเริ่มสวมรองเท้า เดินไปมา   สวมเสื้อผ้าไนลอน  และพวกเขาเดิน เสื้อผ้าก็ถูกับผิว   และพวกเขาก็เดินบนพรม ทำให้อิเล็กตรอนไหลออกมาจากร่างกายอย่างต่อเนื่อง    และเมื่อคุณเดินข้ามพรมในบ้าน และไปสัมผัสลูกบิดประตู อิเล็กตรอนจะไหลผ่านตัวคุณไปสู่ลูกบิดประตู นั่นคือค่าบวกขั้นต่ำ 7,000 โวลต์     ดังนั้น  คุณจึงโตขึ้นที่ 15,000 โวลต์เป็นบวก    นั่นคือจำนวนอิเล็กตรอนที่ถูกดึงออกจากร่างกายของคุณตลอดเวลา     และหากคุณสูญเสียอิเล็กตรอนที่ 15,000 โวลต์เป็นบวก   คุณก็ต้องใช้ประจุไฟฟ้าที่ 15,000 โวลต์ เป็นลบ เพื่อรักษาตัวเอง    แต่การได้รับอิเล็กตรอน แค่ไปหักล้างประจุบวก  อาจไม่มีพลังเพียงพอที่จะหักล้างความเสียหายที่วิถีชีวิตในปัจจุบันได้สร้างขึ้น

              

อิเล็คตรอน กับการเกิดผลึกในร่างกาย

         แบตเตอรี่รถยนต์ทำจากแผ่นตะกั่วที่มีกรดซัลฟิวริก และน้ำอยู่ในนั้น     และในการทำงานของแบตเตอรี่ จะเกิดผลึกตะกั่วซัลเฟตขึ้น     แต่ตราบใดที่ชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มแล้ว ผลึกตะกั่วซัลเฟตจะไม่สะสมมากเกินไป       มี 2 สิ่งที่ทำให้เกิดการสะสมของผลึกได้เร็ว     หนึ่งคือการขาดน้ำ   แบตเตอรี่car battery จะสูญเสียน้ำ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน   และถ้าคุณไม่เติมน้ำ   สารละลายจะมีความเข้มข้นเกินไป และอาจเกิดผลึกซัลเฟตได้       อีกประการหนึ่งคือ  หากแบตเตอรี่ไม่ได้รับการชาร์จอย่างถูกต้อง    แบตเตอรี่ไม่ควรต่ำเกินไป และควรชาร์จให้เต็มเสมอ      หากไม่ได้มีการชาร์จแบตเตอรี่   จะเกิดการสะสมของผลึกได้    และเมื่อเวลาผ่านไป  แบตเตอรี่จะไม่สามารถรับการชาร์จเต็มได้อีกต่อไป     มันจะไม่มีพลังงานอย่างที่เคยใช้  และผลึกจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ   จนในที่สุดแบตเตอรี่ก็ใช้ไม่ได้       

      สิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นในร่างกายมนุษย์    หากเราขาดน้ำ หรือไม่มีประจุที่เหมาะสม (อิเล็กตรอน)   เราก็จะสะสมผลึก และแบตเตอรีพลังงานของเซลล์ก็ไม่สามารถรับประจุได้อย่างเหมาะสม      คนส่วนใหญ่จะประสบกับอาการเหนื่อยล้าของร่างกาย                     

       

      เช่นเดียวกับการกู้คืนแบตเตอรี่รถยนต์    คุณสามารถกู้คืนแบตเตอรี่ของเซลล์ได้     แบตเตอรี่รถยนต์ มีผลึก 2 แบบคือ  แบบอ่อน และแบบแข็ง       ผลึกแบบอ่อน แก้โดยการชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มมากกว่าปกติเล็กน้อยนาน ๆ ครั้ง (overcharged) ซึ่งจะช่วยกำจัดผลึก และรักษาคุณภาพแบตเตอรี่      ส่วนผลึกแข็ง ต้องการแรงดันไฟฟ้าเพื่อทำลายโครงสร้างผลึก       และนี่สิ่งเดียวกับที่เราสามารถทำได้กับร่างกายมนุษย์     หากคุณจัดหาอิเล็กตรอนให้กับร่างกาย   นั่นก็เหมือนกับการชาร์จร่างกาย    แต่ถ้าอิเล็กตรอนที่ให้ ไม่เพียงพอที่จะซ่อมแซมการตกผลึกของแบตเตอรี่มนุษย์    คุณก็จะต้องให้แรงดันไฟฟ้าเพิ่มขึ้น     ดังนั้น  หากร่างกายคุณมีประจุไฟฟ้าที่ 15,000 โวลต์เป็นบวก    ก็จะต้องใช้พลังงานอย่างน้อย 15,000 โวลต์และเป็นลบ  เพื่อซ่อมแซมความเสียหายที่ได้เกิดขึ้น

         ประเด็นที่สองคือ  หากในร่างกายคุณมีการตกผลึกทางชีววิทยาค่อนข้างมาก ด้วยเหตุผลหลายประการ    อาจต้องใช้แรงดันไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเพื่อเข้าไปทำลายการตกผลึกที่มากนั้นออกไปให้หมดโดยสิ้นเชิง       

               จริงๆแล้วมีผลึก อย่างน้อย 17 ชนิด ที่เกิดขึ้นในร่างกายมนุษย์    ตัวหนึ่งที่น่ากลัว คือ ออกซาเลต   ซึ่งออกซาเลตนั้นฝังตัวอยู่ในเนื้อเยื่อของพืชเพื่อกักเก็บแร่ธาตุ  และเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกกินโดยสัตว์กินพืช   เนื่องจากมันทำให้สัตว์ที่กินเข้าไปป่วย    ดังนั้น  พืชพวกนี้จึงผลิตออกซาเลตฝังลงในเนื้อเยื่อ   ดังนั้น  สัตว์จะไม่กินมันมากนัก     ดังนั้น  เราจึงได้รับออกซาเลตจากการรับประทานผักหลายชนิด   และนี่คือหนึ่งในผลึกที่ก่อตัวในร่างกายมนุษย์    แต่ยังมีผลึกอื่นๆอีกมากมาย   

         ร่างกายเราสร้างผลึกจำนวนเล็กน้อยในวงจร Krebs Cycle จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องเกิดผลึกในร่างกาย นอกจากนี้ยังมีอาหารบางอย่างที่เราคิดว่าดีต่อสุขภาพ  เช่น ผักโขม, อัลมอนด์, ช็อกโกแลต, ถั่วเหลือง, เมล็ดเจีย  รวมทั้งผักเคล (Kale) มีสารออกซาเลตสูงมาก        ผักโขม เป็นผักที่น่าสนใจ    หากย้อนกลับไปเมื่อศตวรรษที่แล้ว  ซึ่งมีภาวะทุพโภชนาการเกิดขึ้นมากมายในเด็ก     ดังนั้น  จึงคิดการ์ตูนป๊อปอายขึ้นมาเพื่อให้เด็ก ๆ กินผักโขม  เนื่องจากผักโขมมีสารอาหารมากมาย แต่สารอาหารเหล่านี้ ร่างกายไม่สามารถนำมาใช้ได้  เนื่องจากพวกมันถูกขังอยู่ในออกซาเลต     

         ในสมัยก่อน เราจะต้มผักโขมแล้วเทน้ำทิ้ง  เพราะออกซาเลตประมาณ 1 ใน 3 จะละลายออกมาในน้ำ    แต่ปัจจุบันนี้เรารับประทานผักโขมดิบโดยใส่ในสลัด และคิดว่ามันจะทำให้เรามีสุขภาพดี       ในประเทศอินเดีย  พวกเขาเข้าใจการปรุงผักโขม   โดยปรุงผักโขมกับชีส  เนื่องจากแคลเซียมในชีส จะจับกับออกซาเลตอิสระ  และทำให้ถูกดูดซึมได้น้อยลง     แต่เมื่อเราละทิ้งความรู้โบราณเกี่ยวกับวิธีการปรุงอาหาร   เราจึงไม่ได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่

         อีกวิธีหนึ่งที่ร่างกายได้รับผลึกออกซาเลต คือ ปัจจุบันนี้พวกมันถูกพ่นร่วมกับไกลโฟเสต ซึ่งเป็นสารกำจัดวัชพืช  มีสิทธิบัตรที่กล่าวว่า  การเพิ่มออกซาเลต  ทำให้ไกลโฟเสต ออกฤทธิ์ดีขึ้น  จึงต้องฉีดพ่นออกซาเลต และไกลโฟเสตไปที่พืชผัก     

         โดยพื้นฐานแล้ว ออกซาเลต เป็นโมเลกุลของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 2 โมเลกุลที่ติดกัน  และสามารถเกิดขึ้นได้ 2-3 รูปแบบ   อาจก่อขึ้นเป็นรูปเข็มที่บางมาก  ซึ่งทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างมากในเนื้อเยื่อของเรา   หรืออาจมีหน้าตาแบบก้อนหินก้อนใหญ่  ซึ่งเป็นตัวการเกิดนิ่วในไต      ออกซาเลต ยังเกี่ยวข้องกับการเกิดออทิสติก, ไฟโบรไมอัลเจีย, ภาวะทางระบบประสาท, ลำไส้รั่ว (leaky gut), ปัญหาผิว, ทำให้เชื้อราลุกลาม  และเป็นนิ่วในไต

         ในอดีต  วิธีที่ใช้ในการกำจัดผลึกเหล่านี้ คือ การใช้ส่วนผสมของ lime/ potash  และโซดา      สิ่งเหล่านี้เป็นสารทำให้เป็นด่าง
แต่ไม่ใช่ผลึกทุกชนิด ที่จะสลายไปได้ด้วยสารอัลคาไลน์    ออกซาเลต เป็นหนึ่งในนั้น 

         มีปรากฏการณ์หนึ่งที่เรียกว่า  เพียโซอิเล็กทริก (piezoelectric effect)      ซึ่งอธิบายการทำงานของนาฬิกาควอตซ์ และไฟแช็คแบบยาวสำหรับงานบาร์บีคิว       โดยพื้นฐานแล้ว  ถ้าร่างกายเครียด  ก็เหมือนกับการเกิดผลึกขึ้น  ร่างกายจะสูญเสียอิเล็กตรอนจะออกมา     แต่ในทางฟิสิกส์ปฏิกิริยาหลายอย่างสามารถย้อนกลับได้  และนี่ก็ไม่มีข้อยกเว้น     ดังนั้น  หากคุณใส่อิเล็กตรอนกลับเข้าไปในผลึกนั้น  จะทำให้เกิดความเครียดในผลึก    ตอนนี้ผลึกจะไม่ค่อยมีรูปแบบที่สมบูรณ์       ในความเป็นจริงนักวิทยาศาสตร์ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการพยายามผลิตผลึกที่สมบูรณ์แบบสำหรับสิ่งต่างๆ  เช่น เลเซอร์ และผลึกที่จะใช้ในทางอุตสาหกรรม ที่มักจะใส่ในอุปกรณ์บางอย่าง       คริสตัลจะมีความไม่สมบูรณ์นับล้านรวมกัน  เมื่อพวกมันอยู่ในสภาพที่อ่อนแอ        ดังนั้น  ถ้าคุณทำให้ผลึกเกิดแรงเครียด   ผลึกก็จะร้าว    ดังนั้น  ด้วยการให้แรงดันไฟฟ้า หรือ อิเล็กตรอนเข้าไปในร่างกายในปริมาณมาก    ผลึกก็จะมีความเครียด และแตกออก   

อิเล็คตรอน กับสารต้านอนุมูลอิสระ

        ร่างกายเรามีอนุมูลอิสระซึ่งส่วนใหญ่เป็นสารเคมีและสารประกอบที่ขาดอิเล็กตรอน เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา   และเรามีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะบริจาคอิเล็กตรอนให้กับพวกมัน      เมื่อเรามาพูดถึงสารต้านอนุมูลอิสระ     โดยทั่วไปแล้ว สารต้านอนุมูลอิสระจะเป็นตัวให้อิเล็กตรอนแก่อนุมูลอิสระที่เป็นอันตราย    แต่แล้วกลายเป็นอนุมูลอิสระเสียเอง       และสิ่งที่ควรจะเป็นคือ  สารต้านอนุมูลอิสระจะถูกรีชาร์จใหม่โดย NADPH  หรือถูกรีชาร์จใหม่ด้วยอิเล็กตรอนตัวอื่นเพื่อย้อนกลับไปทำหน้าที่อีกครั้ง  ซ้ำแล้วซ้ำอีก  นับล้าน ๆ ครั้งต่อวินาที  เพื่อกำจัดอนุมูลอิสระ

         ปัจจุบัน เรารู้ว่าการรับประทานทานสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณมากเกินไปก็ไม่ดี    เราต้องการปฏิกิริยารีดักชั่น  และเราต้องการออกซิเดชั่นเพื่อผลักดันภูมิคุ้มกัน และกระบวนการพลังงานของเซลล์        ดังนั้น  โมเลกุลรีดอกซ์จะพอดีกัน  ซึ่งหมายความว่า  เซลล์ของเราใช้รีดิ๊วซ์โมเลกุล และออกซิเดชั่นโมเลกุล  ซึ่งเซลล์ของเราในไมโทคอนเดรียสร้างขึ้น  เพื่อการสื่อสาร และปรับสมดุลของการรีดอกซ์ และออกซิเดชั่นในร่างกาย     ดังนั้น  การรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก  จึงไม่เกิดประโยชน์อีกต่อไป     

         ถ้ามีคนเป็นโรคที่เกิดจากอนุมูลอิสระในร่างกายมาก   แล้วเราแค่ให้สารต้านอนุมูลอิสระมากขึ้น เพราะคิดว่าจะช่วยแก้ปัญหาได้     แต่ถ้าไม่มีอิเล็กตรอนที่จะรีไซเคิล  เพื่อเติมพลังให้มัน   ก็เหมือนกับการบรรทุกอาหารขึ้นรถบรรทุกเพื่อเข้าไปในเมืองที่หิวโหยมาก   แต่ก็ไม่เคยมีการเติมอาหารอีกเลย

        รถบรรทุกอาหารนั้น  สามารถเดินทางได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แล้วก็จอดอยู่ที่นั่น      สิ่งที่ดีกว่า คือ  ให้เมืองที่หิวโหยนั้นมีรถบรรทุกอาหารจำนวนตามปกติ   แต่ให้เติมอาหารให้รถบรรทุกนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และปล่อยให้พวกเขาทำการจัดส่งอาหาร      การมีรถบรรทุกอาหารจำนวนมาก  แต่วิ่งได้เพียงครั้งเดียว   นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับสารต้านอนุมูลอิสระในปัจจุบัน       คุณสามารถได้รับสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่ได้รับจากการรับประทานอาหารตามปกติ  และทำให้ร่างกายได้รับอิเล็กตรอนตามที่ต้องการ  เพื่อให้มันทำงานต่อไป     ดีกว่าการรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระในรูปวิตามินจำนวนมาก   แต่มีอิเล็กตรอนไม่เพียงพอที่จะใช้งานได้

การหมุนเวียนในร่างกาย

         หลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำเป็นตัวแทนเพียง 15% ของการไหลเวียนในร่างกาย     ส่วนเส้นเลือดฝอย เป็นตัวแทนถึง 85%       เส้นเลือดฝอยมีขนาดเล็กมากจนเม็ดเลือดแดงมักจะต้องพับครึ่งเพื่อให้ผ่านไปได้

      เซลล์เม็ดเลือดแดง และผนังหลอดเลือด  รวมทั้งเส้นเลือดฝอย ควรจะมีประจุลบ    นั่นหมายความว่าทั้งคู่ควรมีอิเล็กตรอนมากมาย  และเมื่อเป็นเช่นนั้น  พวกมันก็จะผลักกัน    หมายความว่า  เซลล์เม็ดเลือดแดงจะลอยผ่านหลอดเลือดไป  โดยไม่มีแรงต้านทานใด ๆ     แต่เมื่อมีอิเล็กตรอนไม่เพียงพอ   สิ่งต่างๆก็เริ่มเกาะกันได้     ลองพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณถูลูกโป่งบนผ้าขนสัตว์     เมื่อปล่อยลูกโป่งที่ผนัง  มันจะติดกับผนัง  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น   เพราะผนังและลูกโป่งกำลังแย่งอิเล็กตรอนกัน         การยึดติด และการเกิดผลึกทั้งหมด  เกิดจากไม่มีอิเล็กตรอน     ตอนนี้แรงไฟฟ้าสถิตที่ยึดลูกโป่งกับผ้าขนสัตว์จะมีพลังมากขึ้นแบบทวีคูณในระดับขนาดเล็ก     ดังนั้น  เมื่อดูด้วยกล้องจุลทรรศน์  จะเห็นเซลล์ที่กำลังไหลผ่านด้วยกำลังไฟฟ้าสถิตในเส้นเลือดฝอยอย่างชัดเจน

      และถ้าคุณเคยดูเม็ดเลือดแดง และเส้นเลือดฝอยภายใต้กล้องจุลทรรศน์   คุณมักจะเห็นเม็ดเลือดแดงนั่งแช่อยู่ตรงนั้น  สั่น  ไม่สามารถขยับได้       อีกประเด็นหนึ่งคือตอนนี้เรารู้แล้วว่า  ผลึกเดียวกันซึ่งก่อตัวเป็นนิ่วในไต  คือ แคลเซียม ออกซาเลต  ซึ่งจะเกาะอยู่ภายในผนังหลอดเลือด  และเป็นส่วนหนึ่งของคราบ plaque ที่ทำให้หลอดเลือดแดงตีบ      การกำจัดผลึกในร่างกายด้วยอิเล็กตรอน จึงเป็นส่วนสำคัญในการทำให้ไหลเวียนเลือด กลับดีขึ้นอีกครั้ง

การติดเชื้อ

          มากกว่าร้อยละ 95 ของการติดเชื้อ  เกิดจากเชื้อฉวยโอกาส     เชื้อพวกนี้  ปกติจะไม่รบกวนเรา ถ้าเราสุขภาพดี     พวกมันทำหน้าที่หมักฟิล์มชีวภาพ    สิ่งที่พวกมันหลั่งออกมาเป็นสิ่งเดียวกับที่เราเห็นบนกองปุ๋ยหมัก

      มนุษย์เราไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดเชื้อ   ไม่มีอาหารคุณกิน เป็นอาหารที่ปราศจากเชื้อ   น้ำที่คุณดื่ม ก็ไม่ได้ปราศจากเชื้อ   อากาศคุณหายใจ ก็ไม่ได้ปราศจากเชื้อ   แม้เลือดของเรา ก็ไม่ได้ปราศจากเชื้อ    เราอาศัยอยู่ในซุปของเชื้อจุลินทรีย์

          ถ้าเรามีสุขภาพดี   เชื้อเหล่านี้จะไม่เห็นว่าเราเป็นวัสดุที่ย่อยสลายได้    พวกมันจะอยู่เฉยๆ หรือถูกขับออกจากร่างกายของเราไป     พวกมันรู้ได้อย่างไรว่า  เรามีสุขภาพดีหรือไม่      สิ่งที่ทำให้จุลินทรีย์เหล่านี้ตื่นตัวขึ้นมา คือ ความแตกต่างที่เป็นจุดเด่นระหว่างเซลล์ที่มีชีวิต และเซลล์ที่ตายแล้ว     คือเยื่อหุ้มเซลล์ในเซลล์ที่มีชีวิต เมมเบรนยังคงอยู่   และในเซลล์ที่ตายแล้ว เยื่อหุ้มเซลล์จะถูกทำลายลง       เยื่อหุ้มเซลล์ที่ไม่บุบสลายจะมีประจุไฟฟ้า และเยื่อหุ้มเซลล์ที่แตกจะไม่มีประจุไฟฟ้า     ดังนั้น เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเชื้อฉวยโอกาสเหล่านี้คือ  พวกมันกำลังตรวจจับประจุไฟฟ้าของเรา    และเมื่อประจุสูง พวกมันจะคิดว่า  นี่คือเนื้อเยื่อที่มีชีวิต   ไม่มีอะไรสำหรับฉันที่นี่     แต่เมื่อประจุลดไปถึงจุดหนึ่ง   พวกมันจะคิดว่า  “โอ้นี่มันเป็นสิ่งที่ตายแล้ว   ตกลง ต้องเป็นเวลาอาหารกลางวันของฉัน”    ดังนั้น  เป็นไปได้ไหมว่าการเพิ่มประจุไฟฟ้าในร่างกาย  สามารถโน้มน้าวให้เชื้อฉวยโอกาสทั้งหมดหยุดรบกวนเรา

อิเล็กตรอน และการเจริญเติบโตของเซลล์

         เราทราบดีว่า  หากนำเซลล์มะเร็งที่มีแรงดันไฟฟ้าต่ำ  มาเพิ่มแรงดันไฟฟ้าขึ้น   เซลล์มะเร็งจะหยุดแบ่งตัว     ในทางกลับกัน  ถ้านำเซลล์ปกติมาลดแรงดันไฟฟ้าลง จนถึงช่วงหนึ่ง   เซลล์นั้นจะกลายเป็นเซลล์มะเร็ง     ดังนั้น  จึงเป็นไปได้ว่าอิเล็กตรอนมีบทบาทสำคัญ  และสามารถป้องกันมะเร็งได้

พยาธิ, ปรสิต และประจุไฟฟ้าในร่างกาย

         หากคุณเข้าในยูทูป และพิมพ์คำว่า “worms and electricity”    สิ่งที่จะพบคือ  คนที่ชอบตกปลา และต้องการไส้เดือนสด และไม่ต้องการซื้อ    เขาจะเอาแบตเตอรี่รถยนต์แล้วใส่โพรบลงไปในดินจากขั้วบวกและลบ    และคุณจะเห็นในวิดีโอว่า ไส้เดือนจะโผล่หัวขึ้นมาจากดิน

       พวกพยาธิเกลียดไฟฟ้า    เมื่อคุณเริ่มได้รับอิเล็กตรอนเข้าไปในร่างกาย    คุณอาจสังเกตเห็นสิ่งต่างๆที่ออกมาจากตัวคุณ       พวกพยาธิ และปรสิตส่วนใหญ่มีขนาดเล็กมาก  ต้องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์   มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น   แต่บางครั้งอาจเห็นพยาธิที่ยังมีชีวิตออกมาจากร่างกายจริงๆ   ซึ่งมันดีกว่าที่พวกมันออกมายังมีชีวิต     หากพยาธิเหล่านี้ตายในร่างกาย    จากนั้นร่างกายจะมีซากพยาธิหลายพันล้านตัวในตับ และในเนื้อเยื่อ    ร่างกายจะห่อหุ้มซากพยาธิเหล่านี้ เพื่อการย่อยสลายได้ดีขึ้น      ดีแล้วที่พวกพยาธิออกมายังเป็นๆ     เราแค่เตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่กำลังจะออกมา