1747 x 666 px

น้ำ เป็นพื้นฐานอันดับแรกในการรักษาโรคติดเชื้อไวรัส

         คนจำนวนมาก  ไม่คิดว่าโรคหวัดเป็นโรคที่รุนแรงหรือร้ายแรง  จึงไม่คิดที่จะจัดการภาวะขาดน้ำที่เกิดขึ้น      จากการทำแบบสอบถามแพทย์ในสหรัฐอเมริกา  พบว่า 57% ของแพทย์ที่ตอบแบบสอบถาม กล่าวว่า ภาวะขาดน้ำเป็นผลข้างเคียงที่อันตรายที่สุดในโรคไข้หวัดใหญ่ “อาการที่เกิดขึ้นในโรคไข้หวัดใหญ่  เช่น เป็นไข้ และปวดเมื่อยเนื้อตัว   มักทำให้ผู้ป่วยดื่มน้ำไม่เพียงพอ”  Dr. Leanne M. Chrisman-Khawam of Case Western Reserve University in Cleveland กล่าว       “การรักษาตามอาการ   ควรรักษาภาวะที่ร่างกายขาดน้ำด้วย”

       ภาวะขาดน้ำ  เป็นสาเหตุอันหนึ่งของโรคหลายชนิดที่ทุกคนมองข้าม      แพทย์เองก็ไม่ได้เขียนในใบสั่งยาว่าให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ   แต่น้ำสามารถป้องกัน และรักษาอาการต่างๆได้มากมาย   เพราะภาวะขาดน้ำ เป็นสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังของโรคหลายชนิด       

         ทั้งเด็กและผู้ใหญ่  สามารถสูญเสียน้ำออกจากร่างกายได้มากจากการอาเจียน และท้องเสีย      จากการปัสสาวะมากเกิน เช่น ในภาวะโรคเบาหวานที่ควบคุมไม่อยู่ และการรับประทานยาขับปัสสาวะ      การเสียเหงื่อมากจากการออกกำลังกาย  ไข้      และยิ่งในผู้ป่วย ก็อาจจะดื่มน้ำได้ไม่เพียงพอ  เนื่องจาก  รู้สึกคลื่นไส้, ไม่อยากอาหาร, เจ็บคอ หรือเจ็บปาก      ภาวะการขาดน้ำในผู้ป่วยเด็ก  มักเกิดจาก 2 อย่างรวมกัน  คือ  ไม่อยากอาหารหรือดื่มน้ำ และสูญเสียน้ำจากการอาเจียน, ท้องเสีย หรือมีไข้

         เลือด ประกอบด้วยน้ำ 80 %  น้ำจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดในกระบวนการเคมีที่เกิดขึ้นในเลือด      ภาวะขาดน้ำปานกลาง  คือ มีน้ำหนักตัวลดลง 3-5% จากน้ำในร่างกายที่สูญเสียไป   จะทำให้ร่างกายมีแรงและกำลังลดลง  เนื่องจากมีออกซิเจนในเลือดลดลง      

          แพทย์ส่วนใหญ่  ไม่เข้าใจ หรือปฏิเสธที่คิดว่า  น้ำมีบทบาทสำคัญมากในภาวะของโรคต่างๆ   อาจจะเพียงเพราะว่าน้ำเป็นสารที่ธรรมดาเกินไป      น้ำ เป็นสิ่งแรกที่เราควรดื่มเป็นยา   เพราะน้ำสามารถป้องกัน และรักษาอาการต่างๆได้มากมาย  เพียงแค่ดื่มให้ได้ในปริมาณที่ร่างกายต้องกาย

      Dr. Sang Whang ผู้แต่งหนังสือ “Reverse Aging” กล่าวว่า  กระบวนการแก่ ก็คือการสะสมของเสียที่มีภาวะกรดภายในร่างกาย      เขากล่าวว่า “สารอาหารที่ไปสู่เซลล์ จะเผาไหม้กับออกซิเจน และกลายเป็นของเสียที่เป็นกรด หลังจากให้พลังงานแก่ร่างกาย    ร่างกายจะพยายามอย่างที่สุดที่จะกำจัดของเสียที่เป็นกรดเหล่านี้ออกจากร่างกาย ผ่านทางปัสสาวะและทางเหงื่อ    แต่โชคร้ายที่วิถีการดำเนินชีวิตของเรา, อาหาร และสภาพแวดล้อมที่เราอยู่  ส่งผลให้เราไม่สามารถกำจัดของเสียเหล่านั้นออกได้    ของเสียที่เป็นกรดเหล่านี้  จะค่อยๆสะสมอยู่ตามส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายอย่างช้าๆ    และเนื่องจากกรดทำให้เลือดแข็งตัว  ดังนั้น  การไหลเวียนเลือดใกล้บริเวณที่ของเสียสะสมจึงไม่ดี  ก่อให้เกิดเป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมสารพัดโรคตามมา…”

         ในภาวะที่ร่างกายขาดน้ำ   เลือดจะมีความข้นหนืดและเป็นกรด   ทำให้รอยถลอกและฉีดขาดเกิดขึ้นได้ในระบบหลอดเลือดแดง      L-lactic acidosis (ภาวะซึ่งเลือดและเนื้อเยื่อในร่างกายมีความเป็นกรดมากกว่าปกติ) จะเริ่มเกิดขึ้นจากบริเวณที่มีเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ  จากภาวะการขาดน้ำ หรือ การมีสารพิษที่มีอยู่บริเวณด้านนอกของผนังเซลล์แบคทีเรียแกรมลบในเลือด   ตามด้วย anaerobic glycolysis (การสร้างพลังงานจากสารกลัยโคเจน (กลุ่มแป้งและน้ําตาล) ในกล้ามเนื้อโดยไม่ใช้ออกซิเจน) และการกำจัด L-Lactate ผ่านตับลดลง      ร่างกายจะสร้างโคเลสเตอรอลเพิ่มมากขึ้น จากภาวะการขาดน้ำเรื้อรังที่เกิดขึ้นในร่างกาย   ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายพยายามที่จะซ่อมแซมรอยถลอกและฉีดขาดที่เกิดขึ้นในระบบหลอดเลือดแดง       จริงๆแล้วโคเลสเตอรอลเป็นสิ่งที่ช่วยชีวิตคนเรา    โดยโคเลสเตอรอลทำหน้าที่เป็นเหมือนพลาสเตอร์กันน้ำที่ร่างกายสร้างขึ้น

         ร่างกายจะแสดงภาวะของการขาดน้ำออกมาในรูปแบบของอาการปวด   โดยบริเวณที่ปวดจะเป็นบริเวณที่มีภาวะการขาดน้ำเกิดขึ้นมากที่สุด      การทดสอบอย่างต่อเนื่องพบว่า  ผู้ป่วยที่มีอาการปวดเรื้อรังเกิดจากการที่ร่างกายมีภาวะขาดน้ำเรื้อรัง      ผู้ป่วยเหล่านี้ส่วนใหญ่มีพีเอชของเลือดดำต่ำกว่าปกติ      หรือเรียกว่า เลือดเป็นกรด      เลือดที่เป็นกรดมักจะมีสีเข้มเนื่องจากปริมาณออกซิเจนต่ำ [หมายเหตุ: ร่างกายจะทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาพีเอชของเลือดให้อยู่ในช่วง 7.35-7.45      หากเลือดไม่อยู่ในช่วงพีเอชนี้ จะเกิดปัญหาร้ายแรงทางด้านสุขภาพ]

         อาการปวดข้อ มักเป็นสัญญาณของภาวะขาดน้ำ   ดังนั้น  การใช้ยาแก้ปวดจึงไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาโดยแท้จริง  แต่อาจจะเป็นการทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพเพิ่มขึ้นจากผลข้างเคียงของยา      

วิธีตรวจสอบว่าร่างกายได้รับน้ำเพียงพอหรือไม่ – ดูที่สีของปัสสาวะ

         การดื่มน้ำให้เพียงพอเป็นสิ่งจำเป็น   และเมื่อเราดื่มน้ำไม่พอ  สัญญาณแรกที่เห็นคือ ปัสสาวะมีสีเข้ม       ในผู้ที่มีภาวะขาดน้ำ  ปัสสาวะจะมีสีเหลืองเข้มถึงสีส้ม      หากร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ  ปัสสาวะจะมีสีอ่อน

         ในการตรวจสอบสีของปัสสาวะ   ให้เราปัสสาวะใส่ถ้วยใสแล้วตรวจดูสีโดยเทียบกับตารางด้านล่างนี้

IMG_258

ระดับ 1: ร่างกายได้รับน้ำอย่างเพียงพอ

IMG_259

ระดับ 2: ร่างกายยังได้รับน้ำเพียงพอ  แต่ควรดื่มเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย

IMG_260

ระดับ 3: ร่างกายค่อนข้างอยู่ในภาวะขาดน้ำ และควรดื่มน้ำทันที 1 แก้ว ภายใน 1 ชั่วโมง  หรือ 2 แก้ว หากคุณอยู่กลางแจ้ง และ/หรือ เสียเหงื่อ

IMG_261

ระดับ 4: ร่างกายอยู่ในภาวะขาดน้ำ และจำเป็นต้องดื่มน้ำทันที 2 แก้ว (หรือมากกว่า หากคุณเสียเหงื่อ) และดื่ม 100 มล. ทุกชั่วโมงตลอดทั้งวัน      หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

IMG_262

ระดับ 5: ภาวะขาดน้ำขั้นรุนแรง   ให้ดื่มน้ำ 500 มล. ทันที  และตามด้วย 100 มล. ทุกชั่วโมง ตลอดทั้งวัน      หากปัสสาวะมีสีเข้มกว่าระดับ 5  ควรไปพบแพทย์

บทสรุป

         กระบวนการทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในร่างกายนั้น ต้องมีน้ำร่วมด้วย      ร่างกายที่มีน้ำอย่างเพียงพอ จะช่วยให้กระบวนการเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ      ภาวะขาดน้ำ เกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีการสูญเสียของเหลวออกจากร่างกายมากกว่าที่ได้รับเข้ามา      ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยน้ำเป็นส่วนใหญ่   ดังนั้น สมดุลย์ของเหลวในร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้คนมีสุขภาพดี      ของเหลวในร่างกายสามารถสูญเสียออกจากร่างกายทาง เป็นไข้, ท้องเสีย, อาเจียน หรือทางเหงื่อ

 

                                                      น้ำเป็นหนึ่งในสารอาหารที่สำคัญที่สุดในเด็ก

 

         ภาวะขาดน้ำ สามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วในร่างกายของทารก และเด็กเล็ก ซึ่งไม่มีปริมาณของเหลวกักตุนไว้ในร่างกายมากนัก      และสามารถมีอาการรุนแรงได้อย่างรวดเร็ว      ความเสี่ยงของการเกิดภาวะขาดน้ำในเด็ก มีมากกว่าในผู้ใหญ่ และสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วกว่า       และอาจกลายเป็นภาวะที่รุนแรงทางการแพทย์ได้      หากปล่อยไว้ ไม่แก้ไข  อาจเกิดเป็นผลร้ายตามมา       และเนื่องจากเด็กๆอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในภาวะขาดน้ำ หรือไม่อาจจะบอกให้พ่อแม่รู้ได้  ดังนั้น  จึงตกเป็นความรับผิดชอบของผู้ปกครอง

         น้ำ เป็นสารอาหารที่สำคัญที่สุดในเด็ก       การขาดน้ำเพียง 2% จะส่งผลให้กิจกรรมทางด้านกายภาพ และกิจกรรมทางสติปัญญา หรือกระบวนการทางปัญญา ลดลงได้ถึง 20%       และการขาดน้ำ 3% อาจเกิดภาวะ heat stroke (อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว) ได้

5 Shares