อันดับแรกย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 500 ปีที่แล้ว ไฮโดรเจนถูกค้นพบโดยบังเอิญโดยคนที่ชื่อ Philippus Aureolus Paracelsus (แพราเซลซัส) หนึ่งในการทดลองของเขาเกี่ยวกับกรดและโลหะ เขาสังเกตเห็นก๊าซไวไฟลึกลับที่เกิดจากการทดลอง ต่อมาปี 1766 เมื่อนักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษชื่อ Henry Cavendish (เฮนรี คาเวนดิช) แยกไฮโดรเจนได้ และเรียกว่าเป็นอากาศไวไฟ ซึ่งจะก่อตัวเป็นน้ำขึ้นเมื่อเกิดกระบวนการเผาไหม้ (combustion) แต่อากาศไวไฟนี้ ก็ยังไม่ได้รับการตั้งชื่อ จนถึงปี ค.ศ. 1783 เมื่อ Antoine Lavoisier (อ็องตวน-โลร็อง เดอ ลาวัวซีเย) ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งเคมีสมัยใหม่ ใช้คำภาษาฝรั่งเศส “hydrogene” (ไฮโดรจีน) เพื่ออธิบายก๊าซนี้ คำนี้ที่มาจากคำภาษากรีก hydro หมายถึงน้ำ และ gene หมายถึง การก่อตัว หรือการสร้าง ดังนั้น โดยพื้นฐานแล้วไฮโดรเจนหมายถึง การสร้างน้ำ
ในปี ค. ศ. 1888 วารสาร Annals of Surgery ได้ตีพิมพ์ข้อมูลหลักฐานที่เชื่อมโยงไฮโดรเจนกับยา โดยอ้างถึงงานของ Dr. Nicolas Senn ซึ่งในเวลานั้นใช้ H2 กับลำไส้ ต่อมาในปี ค. ศ. 1943 มีการใช้ก๊าซไฮโดรเจนเป็นครั้งแรกใน การดำน้ำในทะเลลึก โดยวิศวกรชาวสวีเดนชื่อ Arne Zetterstrom ซึ่งเป็นกระแสที่มาแรงในสหรัฐฯในช่วงทศวรรษที่ 60 เมื่อกองทัพเรือสหรัฐฯใช้ก๊าซผสมที่เรียกว่า Hydreliox พวกเขาสังเกตเห็นว่า มันสามารถบรรเทาอาการ decompression sickness {(DCS) หรือ Bend เป็นโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายมีฟองก๊าซ
บทความนี้อธิบายว่า H2 ทำงานในการกำจัดอนุมูลอิสระที่เป็นพิษต่อเซลล์ ที่เรียกว่า hydroxyl radical อย่างเฉพาะเจาะจง สิ่งนี้ทำให้เกิดงานวิจัยไฮโดรเจนอีกมากมายตามมา ตั้งแต่นั้นมามีงานวิจัยที่ตีพิมพ์มากกว่า 600 ชิ้น เกี่ยวกับ H2 ที่ใช้ในทางการแพทย์ ซึ่งรวมถึงการวิจัยในโรคของมนุษย์มากกว่า 170 งานวิจัย และกำลังมีงานวิจัยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ประเทศในเอเชีย เช่น จีน, ญี่ปุ่น และเกาหลี ในทุกวันนี้ มีคลินิกที่ผู้ป่วยโรคเรื้อรังสามารถเข้ารับการบำบัดด้วย H2 และได้รับผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง H2 มีศักยภาพอย่างมากสำหรับการใช้งานทางการแพทย์ที่เกี่ยวกับโรคเรื้อรังต่างๆ มีคำกล่าวว่า การตลาดจะล้าหลังวิทยาศาสตร์ 10 ปี ดังนั้น คุณลองคิดดูว่า ปี 2017 เป็นปีที่ไฮโดรเจนบูม ในความคิดของคุณ คุณคิดว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนกว่าการแพทย์ปัจจุบันในประเทศไทยจะยอมรับ H2 มาใช้ในทางการแพทย์