“มนุษย์   อาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปแบบสูงที่สุดบนโลกใบนี้   ได้สร้างอุตสาหกรรมยาขนาดมหึมาเพื่อจุดประสงค์หลักในการเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตที่ต่ำที่สุดในโลก นั่นคือเชื้อโรค!    หนึ่งในโศกนาฏกรรมที่ใหญ่ที่สุดของอารยธรรมมนุษย์คือ                              ลำดับความสำคัญ ที่ให้ความสำคัญกับสารเคมี  มากกว่าโภชนาการ”–ดร. Richard Murray 

 

“ในทางวิทยาศาตร์    ผู้คนมองว่า  สิ่งที่ตนได้เรียนรู้และส่งต่อในมหาวิทยาลัยและสถานศึกษา  เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของตน    หากคนอื่นมาพร้อมกับความคิดใหม่ๆ ที่ขัดกับหลักความเชื่อเดิมของตน  และในความเป็นจริง อาจถึงกับสามารถล้มล้างความเชื่อเดิมๆลง   แล้วอคติทั้งหมดก็ถูกยกขึ้นต่อต้านแนวคิดใหม่ๆนี้  และไม่มีทางใดที่จะยอมลงต่อแนวคิดใหม่     ผู้คนต่อต้านมันในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้: แกล้งทำเป็นไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับมัน    พูดดูถูกเหยียดหยามราวกับว่ามันไม่คุ้มที่จะพยายามสืบเสาะหาความจริง    แนวคิดใหม่ๆ  จึงอาจต้องรอนานก่อนที่จะได้รับการยอมรับในที่สุด”–เกอเธ่

         ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสุขภาพฝังแน่นในวัฒนธรรมของเรา     เส้นทางสู่ความเข้าใจในกระบวนการรักษาและฟื้นฟูสุขภาพนั้นยาวไกลและบิดเบี้ยว    จากความรู้โบราณและโดยสัญชาตญาณ   วิทยาศาสตร์ได้เข้ามาแทนที่   ทำผิดพลาดอย่างมโหฬาร   และยึดติดอยู่กับมัน    มีการปฏิเสธภูมิปัญญา หรือการค้นพบทางวิทยาศาสตร์  เพื่อสนับสนุนระบบที่ได้รับความนิยม สะดวก หรือเป็นที่พึงปรารถนาทางการเมืองมากกว่า    เช่นเดียวกับที่โสกราตีสถูกวางยาพิษจากความคิดของเขา   และกาลิเลโอถูกบังคับให้เขาถอนคำพูดเกี่ยวกับดาราศาสตร์        ความเขลา และอำนาจ  อาจเป็นส่วนผสมที่อันตราย

         เราไม่ได้ติดโรค เราสร้างพวกมัน     เราต้องกิน ดื่ม คิด และรู้สึกว่ามันมีอยู่จริง    เราทำงานหนักในการพัฒนาโรค    เราก็ต้องทำงานหนักเพื่อฟื้นฟูสุขภาพเช่นเดียวกัน     การปรากฏตัวของเชื้อโรค  ไม่ถือเป็นการมีอยู่ของโรค     แบคทีเรียเป็นสัตว์กินของเน่าตามธรรมชาติ…พวกมันย่อยเนื้อเยื่อที่ตายแล้วให้เป็นองค์ประกอบที่เล็กที่สุด     เชื้อโรคหรือแบคทีเรียไม่มีอิทธิพลใดๆ ต่อเซลล์ที่มีชีวิต          เชื้อโรคหรือจุลชีพ  จะเจริญงอกงาม และกินของเน่าในบริเวณที่เกิดโรค     พวกมันแค่อาศัยของเสียจากการเผาผลาญ และเนื้อเยื่อที่เป็นโรค, ขาดสารอาหาร และไม่มีความต้านทานตั้งแต่ตอนแรก     พวกมันไม่ใช่สาเหตุของโรค   เหมือนกับแมลงวันและตัวหนอน ไม่ได้ทำให้เกิดขยะ     แมลงวัน ตัวหนอน และหนูไม่ได้ก่อให้เกิดขยะ แต่มันได้อาหารจากขยะ     ยุงไม่ทำให้เกิดน้ำนิ่ง  แต่มันขยายพันธุ์ในน้ำนิ่ง!     คุณมักจะเห็นนักผจญเพลิงอยู่ที่อาคารที่ไฟไหม้   แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาทำให้เกิดไฟไหม้…

         การแพทย์ของตะวันตก  สอนและปฏิบัติตามหลักคำสอนของนักเคมีชาวฝรั่งเศส หลุยส์ ปาสเตอร์ (ค.ศ. 1822-1895)     ทฤษฎีหลักของปาสเตอร์เป็นที่รู้จักกันในชื่อทฤษฎีเชื้อโรค (Germ Theory Of Disease) โดยอ้างว่า  จุลินทรีย์บางชนิดจากแหล่งภายนอก  บุกรุกร่างกาย  และเป็นสาเหตุแรกของโรคติดเชื้อ     แนวคิดเกี่ยวกับแบคทีเรียชนิดจำเพาะ  ซึ่งก่อให้เกิดโรคจำเพาะ  ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการว่า  เป็นรากฐานของการแพทย์ และจุลชีววิทยาแบบ allopathic ของตะวันตกในปลายศตวรรษที่ 19     เรียกอีกอย่างว่า monomorphism (รูปแบบเดียว)   มันถูกนำมาใช้โดยศูนย์การแพทย์/อุตสาหกรรมของอเมริกา   ซึ่งเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในช่วงเปลี่ยนศตวรรษ     กลุ่มนี้ถูกจัดตั้งขึ้นโดยสมาคมการแพทย์อเมริกัน   ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยผลประโยชน์ด้านยา  เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการระบบกฎหมายเพื่อทำลายวิชาชีพการแพทย์โฮมีโอพาธีย์

         ธุรกิจเหล่านี้ควบคุมโดยบริษัทยา   กลายเป็นธุรกิจมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ต่อปี    นอกจากนี้  ยังรวมถึงบริษัทประกันภัยหลายแห่ง, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.), สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH), ศูนย์ควบคุมโรค (CDC), โรงพยาบาล และหน่วยงานด้านการวิจัยของมหาวิทยาลัย     หลักการในเรื่องจุลินทรีย์  ทำให้เกิดเทคนิคการฉีดวัคซีนที่ เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2339     เจนเนอร์ เอาหนองจากแผลที่ไหลออกจากวัวที่ป่วย   และฉีดเข้าไปในเลือดของ “ผู้ป่วย” ของเขา    ดังนั้น  จึงถือกำเนิดเป็นการปฏิบัติการให้วัคซีน/การฉีดวัคซีน   ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงไปเพียงเล็กน้อยจนถึงทุกวันนี้   และความเข้าใจในเรื่องนี้ก็ยังคงถูกคลอบงำด้วยทฤษฎีของปาสเตอร์     ซึ่งต่อมา  ทำให้เกิดการพัฒนาของยาปฏิชีวนะ โดยครั้งแรกคือเพนิซิลลินในปี 2483     ยาปฏิชีวนะคือของเสียที่เป็นพิษจากเชื้อโรคตัวหนึ่ง  ที่ใช้ในการพยายามฆ่าเชื้ออีกตัวหนึ่ง     เพนิซิลลินเป็นพิษจากเชื้อรา     แต่การใช้ยาปฏิชีวนะ  ได้สร้างการแพร่ขยายของสายพันธุ์เชื้อโรคที่ต้านยา, ก้าวร้าว และดื้อรั้น  ซึ่งหลอกหลอนเราในทุกวันนี้

        Rife Universal Microscope ซึ่งพัฒนาขึ้นในช่วงปลายทศวรรษที่ 1930 และต้นทศวรรษ 1940 ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า  เชื้อโรค (จุลินทรีย์) เป็นผลมาจากโรค (เป็นตัวกำจัดเซลล์ที่ตายแล้ว)   มากกว่าจะเป็นสาเหตุของโรค    หากมีเชื้อโรคเข้ามาเกี่ยวข้อง   มันจะเป็นอาการเบื้องต้นของภาวะทั่วไปนั้น    แม้ว่าเชื้อโรคจะไม่ได้เป็นสาเหตุของโรค   แต่อาการทุติยภูมิก็เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อกิจกรรมของพวกมัน (ที่เรียกกันทั่วไปว่าโรค)     เหตุผลหนึ่งที่วงการแพทย์ทั่วไปมองไม่เห็นภาพรวม  เกิดจากวิธีการดูของพวกเขานั่นเอง    มันขึ้นอยู่กับว่า  คุณมองมันอย่างไรและมองด้วยอะไร

         ในฉบับที่ 3, Basic Histology, Junqueira & Carneiro, 1980    เราค้นพบข้อจำกัดของกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนว่า  ลำอิเล็กตรอนต้องการการใช้เนื้อเยื่อบางๆ ที่อยู่ในสุญญากาศสูง       ผู้เขียนข้อกำหนดเหล่านี้ระบุไว้ในหน้า 9: “เงื่อนไขเหล่านี้ขัดขวางการใช้ตัวอย่างที่มีชีวิต…และ…ลำแสงอิเล็กตรอนบนวัตถุ  สามารถสร้างความเสียหายและสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์ในโครงสร้างเนื้อเยื่อได้     พวกเขาใช้เลือด  และย้อมสีตัวอย่างเลือด    จากนั้น พวกเขาก็จับภาพ  และตีความว่าเป็นภาพรวมทั้งหมด ในระหว่างการศึกษา และตีความส่วนเนื้อเยื่อที่ถูกย้อมสี  ในการเตรียมเพื่อส่องกล้องจุลทรรศน์    ผลิตภัณฑ์ที่สังเกตได้ภายใต้กล้องจุลทรรศน์  คือผลลัพธ์สุดท้ายของกระบวนการชุดหนึ่ง  ที่บิดเบือนอย่างมากจากภาพที่จะสังเกตได้ในเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิต   ส่วนใหญ่ผ่านการหดตัว    ในอดีต มีข้อเสนอแนะว่า  จุดที่กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนระบุว่าเป็นไวรัส    มีความเป็นไปได้มาก  ที่จะเป็นอย่างอื่น เช่นอนุภาคของโปรตีนที่เสื่อม และไม่มีชีวิตแล้ว – ซึ่งเป็นเปปไทด์ที่สลายตัวจากการตายของเซลล์ – เป็นสารตกค้างจากการสลายตัวของไซโตพลาสซึม  หรือเป็นโปรตีนซ่อมแซม  ที่ผลิตโดยเซลล์  เพื่อตอบสนองต่อชีววิทยาที่ไม่สมดุล     มีรายงานโดยนักวิจัยที่ค้นหา “ไวรัสที่เข้าใจยาก”   โดยมีสมมุติฐานว่า  ไวรัสสามารถ “เลียนแบบ” เนื้อเยื่อของมนุษย์ได้!     พวกมันเป็นเนื้อเยื่อของมนุษย์

        ในความเป็นจริง ไม่ใช่แบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรค แต่เป็นองค์ประกอบทางเคมีของจุลินทรีย์เหล่านี้ที่ถูกกระตุ้นโดยเซลล์ของร่างกายมนุษย์ที่มีเมตาบอลิซึมไม่สมดุล  ซึ่งในความเป็นจริงทำให้เกิดอาการของโรค     จุลินทรีย์ที่เกี่ยวข้องกับโรค  ไม่ได้เป็นตัวสร้างสภาวะที่สนับสนุนการวิวัฒนาการที่ผิดปกติในร่างกาย

Biological Terrain (ภูมิประเทศทางชีวภาพในร่างกาย)

         ภูมิประเทศทางชีวภาพในร่างกาย  ที่มีสุขภาพดีหรือเป็นโรคนั้น  ถูกกำหนดโดยหลัก 4 ประการ  คือ: ความสมดุลของกรด/ด่าง (pH); ประจุไฟฟ้า/แม่เหล็ก (ลบ หรือบวก); ระดับของพิษ (ความเป็นพิษ); และสถานะทางโภชนาการ     อาการสำคัญอย่างหนึ่งของภูมิประเทศที่เป็นโรคคือ  ออกซิเจนต่ำ    อีกประการหนึ่งคือ  การหยุดการเคลื่อนไหว  หรือความแน่นิ่งของเหลวคอลลอยด์ระหว่างเซลล์ในร่างกาย       อีกประการหนึ่งคือ  การสูญเสียประจุไฟฟ้าบนผิวเซลล์เม็ดเลือดแดง   ซึ่งก่อให้เกิดอาการที่เรียกว่า rouleau ซึ่งบางครั้งเรียกว่า “เลือดหนืด”         

         ภายในผนังเซลล์    สารเคมีและส่วนประกอบทั้งหมดทำงานร่วมกันเป็นสิ่งมีชีวิต    เชื่อว่า  ไม่มีสิ่งใดภายในเซลล์ที่มีชีวิตอยู่ด้วยตัวมันเอง    แต่เมื่อคุณตรวจด้วยวิธี live blood    คุณสามารถสังเกตได้ว่า  จุลินทรีย์ผ่านวงจรการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบที่แน่นอนและตรวจสอบได้ทางวิทยาศาสตร์     วิวัฒนาการที่ลึกซึ้งพอๆ กับการเปลี่ยนแปลงของหนอนผีเสื้อเป็นผีเสื้อ     วิวัฒนาการนี้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากมันสามารถเกิดขึ้นได้ค่อนข้างรวดเร็ว (บางครั้งในเวลาไม่กี่นาที!)    ไม่มีศัตรูหรือโรคเฉพาะให้ต่อสู้    มีเพียงผลของความสมดุลหรือความไม่สมดุลเท่านั้น    ดูเหมือนว่าจักรวาลจะทำงานโดยรักษาสมดุลของสิ่งที่ตรงกันข้ามกัน    เมื่อสิ่งต่าง ๆ ไม่สมดุล   มักจะมีสัญญาณปรากฏขึ้นเพื่อบอกให้รู้     สุขภาพคือความสมดุลในระบบ    หากคุณต้องการดูการเปรียบเทียบคร่าวๆ ว่า  เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายที่ป่วย   ลองไม่ทำความสะอาดบ้านเป็นเวลาประมาณหนึ่งปีดูสิ

       

         ในสภาพแวดล้อมนั้น “แขก” ตัวเล็ก ๆ ทุกประเภท  จะมาจากที่ไหนก็ไม่รู้  เพื่อมาอาศัยอยู่กับคุณ    ในทำนองเดียวกัน ความเครียดจากนิสัยการกินที่ผิด และวิถีชีวิตของเรา  ทำให้สภาพแวดล้อมภายในของเรา “สกปรกมากขึ้น”      ภูมิประเทศภายในของเราที่มีสภาพเป็นกรดมากเกินไป (ค่า pH ไม่สมดุล) เป็นการปูทางสำหรับแขกที่เราไม่ต้องการต้อนรับ    ในสภาพแวดล้อมที่ไม่สมดุลนี้ แบคทีเรียที่ก่อโรค  สามารถมาจากเซลล์ของเราเองได้     สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเหล่านี้  สามารถเปลี่ยนรูปแบบและหน้าที่ได้อย่างรวดเร็ว    ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า pleomorphism (pleo = many; morph = form) แบคทีเรียสามารถเปลี่ยนเป็นยีสต์, ยีสต์เป็นเชื้อรา (fungus), fungus เป็น mold     จุลินทรีย์ เช่น แบคทีเรียบางชนิด สามารถเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ    ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงทั้งการทำงาน และรูปร่าง    คล้ายกับคนที่มีบุคลิกหลากหลาย     สรีรวิทยาของบุคคลก็เปลี่ยนไป   บุคลิกภาพก็เปลี่ยนไป     Dr. E.C. Rosenow จาก Mayo Biological Labs และนักแบคทีเรียวิทยาคนอื่น ๆ แสดงให้เห็นว่า  การเปลี่ยนแปลงของอาหารเพาะเลี้ยงเชื้อ     สามารถทำให้เชื้อสเตรปโทคอคคัส  เปลี่ยนแปลงไปเป็นเชื้อนิวโมคอคคัส    และการเปลี่ยนอาหารกลับเหมือนเดิม  จะทำให้เชื้อนิวโมคอคคัส  เป็นสเตรปโตคอคคัสตามเดิม     สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า  แบคทีเรียเป็นตัวคอยย่อยสลายตามธรรมชาติ  และเป็นถุงของเอ็นไซม์   เปลี่ยนแปลงรูปร่างและการผลิตเอนไซม์เพื่อจุดประสงค์ในการย่อยสลายไปเป็นองค์ประกอบที่เล็กที่สุด  ไม่ว่าจะมีเนื้อเยื่อที่ตายแล้วหรือไม่ก็ตาม    นอกจาก pH และ pleomorphism แล้ว    เราต้องพิจารณาแนวคิดที่สำคัญที่สุด นั่นคือ   ความแตกต่างระหว่างอาการของโรคกับสภาวะของโรค    ใน pleomorphism    สิ่งที่เรียกว่า  สปีชีส์   เป็นเพียงขั้นตอนในวัฏจักรการเติบโตของตระกูลของสิ่งมีชีวิต     สมาชิกแต่ละตนทำหน้าที่แตกต่างกัน  และดูแตกต่างจากสมาชิกอื่นๆ มาก

         สิ่งที่คนส่วนใหญ่เรียกว่า “โรค”   จริงๆแล้วคือ  อาการ หรืออาการสะสมหลายๆอย่าง    ตัวอย่างเช่น เนื้องอก, มะเร็งเป็นอาการ        ดังนั้น  การพยายามต่อสู้กับมัน  จึงส่งผลให้เกิดการแพร่ระบาดในทุกวันนี้     สิ่งที่คนทั่วไปคิดว่าเป็นสาเหตุของโรค  ที่แท้แล้วคือ อาการ            ในหมวดหมู่นี้มี  แบคทีเรีย, ยีสต์ และลูกหลานของพวกมัน    เมื่อเชื้อโรคเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วย    เชื้อโรคก็กำลังผลิตหรือมีอิทธิพลต่อร่างกายในการสร้างอาการต่อมา    ในการแพทย์แผนตะวันตก    อาการทุติยภูมิเหล่านี้ถือเป็นโรค     คำตอบอยู่ที่สภาพภูมิประเทศภายในของคุณ ว่าอยู่ในสมดุลหรือไม่?   หรือจะสนับสนุนการเติบโตของแขกที่เราไม่ต้องการต้อนรับ?    เมื่อมันดำเนินไป ความไม่สมดุลจะกลายเป็นวงจรอุบาทว์    ในความไม่สมดุลของค่า pH    เนื้อเยื่อของร่างกายจะอยู่ทางด้านกรด     ภาวะกรดได้รับการส่งเสริมจากหลายสิ่งหลายอย่าง ได้แก่ ประเภทของอาหาร  และการย่อยอาหารที่ไม่ดี    ในการย่อยอาหารที่ไม่ดี    อาหารจะถูกหมัก หรือเน่าเสีย    ในระยะเริ่มต้นของความไม่สมดุล    อาการภายนอกอาจไม่รุนแรงนัก  และมักได้รับการรักษา (ควบคุม) ด้วยยา  ซึ่งรวมถึงอาการต่างๆ เช่น ผื่นผิวหนัง, ปวดศีรษะ, ภูมิแพ้, โรคหวัดและไข้หวัดใหญ่ และปัญหาไซนัส    เมื่อสิ่งต่าง ๆ ไม่สมดุลมากขึ้น    สภาวะที่ร้ายแรงมากขึ้นก็เกิดขึ้น – ต่อม, อวัยวะ และระบบต่างๆ เริ่มเสื่อมถอย เช่น ไทรอยด์, ต่อมหมวกไต, ตับ เป็นต้น

        น่าเสียดายที่การจัดการอาการ  มีบทบาทสำคัญในการทำให้อาการแย่ลงในภายหลัง    แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้พิจารณาหรือตระหนักถึงสิ่งนี้เมื่อไปรับการรักษาพยาบาล    แม้แต่แพทย์ส่วนใหญ่ก็ไม่รู้  หรือไม่ได้บอกคนไข้     แนวทางทางการแพทย์  เป็นการใช้บำบัดด้วยยาทดแทนธรรมชาติ, การให้ยาพิษแทนอาหาร   ซึ่งเราให้ยาพิษ (ยา) แก่ผู้คน  พยายามแก้ไข (โจมตี) ปฏิกิริยาของการขาดสารอาหาร     การขาดความเข้าใจทำให้เกิดความกลัว   แต่เมื่อเราเข้าใจว่า  ทั้งสุขภาพและโรคภัยถูกสร้างขึ้นด้วยนิสัยการใช้ชีวิตและการกินของเราเอง   จึงไม่ต้องกลัว “เชื้อโรค” อีกต่อไป     ระบบภูมิคุ้มกันของเรา  เชื่อมโยงกับดาวเคราะห์โลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   เพราะเราเองสร้างจากสสารที่มีอยู่ในโลก     โลกทั้งดวง  มีระบบภูมิคุ้มกันที่ทำงานของตัวเอง   ระบบป้องกันตนเอง, สร้างใหม่ และรักษา    เมื่อเราไม่ได้รวมเข้ากับระบบนั้น   หรือเราทำอันตรายต่อระบบนั้น    ผลลัพธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือความเสื่อมของเราเอง

ประวัติ

         Rudolf Virchow   บิดาแห่งทฤษฎีเชื้อโรค กล่าวไว้ในปีต่อๆ มาว่า “ถ้าผมสามารถมีชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง    ผมจะอุทิศชีวิตเพื่อพิสูจน์ว่าเชื้อโรคแสวงหาที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของพวกมัน   นั่นคือเนื้อเยื่อที่เป็นโรค แทนที่จะก่อให้เกิดโรค”     ปาสเตอร์ (1822-1895) และ Paul Ehrlich (1854-1915)   ร่วมกันมอบหลักคำสอนทฤษฎีโรคของจุลชีววิทยาและภูมิคุ้มกันวิทยา  ก่อนที่วิตามิน, แร่ธาตุ และสารอาหารอื่นๆ จะถูกค้นพบ     วัคซีนกลายเป็นแฟชั่น  และได้รับการยอมรับจากนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ชั้นนำ    ผู้ที่ต้องการคำอธิบายที่ชัดเจนและมีเหตุผลสำหรับสิ่งที่อธิบายไม่ได้     Antoine Béchamp, M.D. หนึ่งในนักแบคทีเรียวิทยาระดับแนวหน้าของโลก  และผู้ที่มีชีวิตร่วมสมัยกับ Pasteur กำลังค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่    บางคนในสมัยของเขายอมรับทฤษฎีและการค้นพบของเขาว่าเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นที่ยอมรับอย่างแน่นอน     เบชอง ได้รับรางวัลความสำเร็จมากมาย  จนต้องใช้วารสารทางวิทยาศาสตร์ถึง 8 หน้าในการแสดงรายการ  เมื่อเขาเสียชีวิต    เหนือสิ่งอื่นใด เขาได้ช่วยอุตสาหกรรมผ้าไหมฝรั่งเศสจากการถูกทำลายล้างโดยหนอนไหม ภายใต้จมูกของปาสเตอร์ ซึ่งได้รับมอบหมายให้แก้ปัญหานี้     เขาอธิบายกระบวนการหมักอย่างชัดเจนว่ามันคืออะไร:   คือ กระบวนการย่อยโดยสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก     เขาเป็นคนแรกที่ยืนยันว่า  เลือดไม่ใช่ของเหลว   แต่เป็นเนื้อเยื่อที่ไหลเวียน     เขาพัฒนา; กระบวนการการผลิต aniline ในราคาถูก  ซึ่งเป็นรากฐานของอุตสาหกรรมสีย้อม

        สิ่งที่ทำให้ทฤษฎีเชื้อโรคเป็นอันตรายมากคือ  มันดูเหมือนจริงอย่างยิ่ง    แต่มันเป็นเรื่องรองเท่านั้น     Bechamp กล่าวว่า “ไม่มีหลักคำสอนใดที่เป็นเท็จจนไม่มีอนุภาคของความจริงอยู่    ดังนั้น  จึงมีหลักคำสอนแบบไมโครเบียน”     Béchamp ค้นพบ Microzyma (ปัจจุบันเรียกว่า  micro-organisms)   เป็นสิ่งเล็กๆที่ทำหน้าที่หมัก – เป็นโครงสร้างพื้นฐานของชีวิตเซลล์    และเชื้อโรคนั้นเป็นผลของโรค   ไม่ใช่สาเหตุของโรค    จากการทดลองของเขา   เขาแสดงให้เห็นว่า  ลักษณะที่สำคัญของเซลล์และเชื้อโรค  ถูกกำหนดโดยดินที่ไมโครไซมากิน, เติบโต และขยายพันธุ์ในร่างกายมนุษย์    ทั้งเซลล์ปกติและเชื้อโรคมีงานสร้างสรรค์ที่ต้องทำ     เซลล์จัดระเบียบเนื้อเยื่อและอวัยวะในร่างกายมนุษย์     เชื้อโรคทำความสะอาดระบบของมนุษย์  และทำให้ปลอดจากการสะสมของสารก่อโรคและเยื่อเมือก     เรากำลังหายใจเอาเชื้อโรคและแบคทีเรียประมาณ 14,000 ตัวต่อชั่วโมงอย่างต่อเนื่อง    ถ้าเชื้อโรคมีอันตราย ทำไมเราไม่ตายกันหมด?

        ในระยะแรกของการอักเสบ (การเกิดหนอง) แบคทีเรียในขณะนั้น  คือสเตรปโตคอคคัส    แต่เมื่อเซลล์เม็ดเลือด  และเนื้อเยื่อสลายตัวมากขึ้น “สเตรป” จะเปลี่ยนเป็นสแตฟิโลคอคคัส   ซึ่งเป็นรูปแบบที่อาศัยในเนื้อเยื่อที่ตายแล้ว     แบคทีเรียไม่มีผลกับเซลล์ที่มีชีวิต   จะมีเฉพาะเซลล์ที่ตายแล้ว    มันไม่ใช่สาเหตุของโรค  แต่เป็นผลของโรค    นั่นเป็นสาเหตุว่า  ทำไมในหลาย ๆ กรณีของโรคปอดบวม    เชื้อปอดบวมจะไม่ปรากฏ  จนกว่า 36 ถึง 72 ชั่วโมง หลังจากเริ่มมีอาการของโรค     งานทางชีววิทยาของเขา  อาจปฏิวัติการแพทย์ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับธรรมชาติของชีวิต    แต่ในโลกการเมือง   เขาพบว่าตัวเองต้องต่อสู้กับนักการเมืองที่เก่งกาจที่มีสายสัมพันธ์อันมั่งคั่ง นั่นคือ  หลุยส์ ปาสเตอร์     Antoinne Béchamp เป็นนักวิทยาศาสตร์    ในขณะที่ Pasteur เป็นนักเคมีที่ไม่มีการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์สิ่งมีชีวิต และเป็นนักโฆษณา   เขาได้ลอกเลียนงานวิจัยของ Béchamp    บิดเบือน และส่งไปยัง French Academy of Science ในฐานะเป็นงานวิจัยของเขาเอง!    และด้วยการเผยผลการวิจัยที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์เหล่านี้สู่สาธารณะ    ปาสเตอร์ ก็มีผู้ติดตามอย่างมากมาย ผู้คนยกย่องเขาว่าเป็นอัจฉริยะด้านวิทยาศาสตร์     ปาสเตอร์ มีส่วนรับผิดชอบอย่างมาก  ในการใช้สัตว์ทดลองในการวิจัยทางการแพทย์   ปาสเตอร์ ใช้สิ่งที่เตรียมจากเนื้อเยื่อที่เป็นโรคของสัตว์ที่ป่วยก่อนหน้านี้   มาฉีด และทำให้สัตว์ที่ถูกฉีด ป่วย     สิ่งนี้ทำให้เห็นเป็นลักษณะที่ว่า  เชื้อโรคทำให้เกิดโรค   ทั้งๆที่สิ่งที่ฉีดเข้าไปเหล่านั้น  มีพิษร้ายแรงมาก    นี่ไม่ใช่ขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์     แต่แสดงให้เห็นความจริงที่ว่า  คุณสามารถทำให้คนป่วยโดยการวางยาพิษในเลือดของเขาหรือเธอ   

        นักแบคทีเรียวิทยาชาวเยอรมัน Robert Koch ได้กำหนดกฎเกณฑ์ที่แยกระหว่างจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของโรค  หรือจุลินทรีย์ดี ที่ไม่ก่อให้เกิดโรค     เขาได้จัดเตรียม Postulates Of Koch (สมมติฐานของค็อค) ที่มีชื่อเสียงเพื่อช่วยในการแยกความแตกต่าง     ปัญหาเดียวคือ ในทางปฏิบัติ   ไม่มีจุลินทรีย์ชนิดใดที่สามารถตอบสนองความต้องการที่จำเป็นเพื่อยืนยันว่า  จุลินทรีย์นั้นเป็นสาเหตุของโรคใดๆ          น่าเสียดายที่  เมื่อข้อเรียกร้องของสาเหตุเหล่านี้  ไม่สามารถระบุให้แบคทีเรียเป็นสาเหตุได้    ความว่างเปล่าครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นกับวิทยาศาสตร์การแพทย์   นั่นคือทฤษเชื้อโรค    เมื่อมีความไม่สอดคล้องกันของทฤษฎีเชื้อโรค   Eli Metchnikoff (1845-1916) ได้สนับสนุนทฤษฎีใหม่  โดยเปิดเผยแนวความคิดใหม่เกี่ยวกับความสามารถในการทำลายของเซลล์เม็ดเลือดขาว (เซลล์เม็ดเลือดขาวบางชนิด  สามารถดูดกลืนสิ่งแปลกปลอมในกระแสเลือด และเนื้อเยื่อได้อย่างไร)   กลายเป็นทฤษฎีภูมิคุ้มกันวิทยา (immunology)     แนวความคิดที่พัฒนาขึ้นใหม่ของ Metchnikoff ได้ลบล้างความไม่ชัดเจนของทฤษฎีเชื้อโรคที่ว่า:   เหตุใดทุกคนที่สัมผัสกับจุลินทรีย์ชนิดเดียวกันจึงไม่พัฒนาเป็นโรคเหมือนกัน    ทฤษฎีภูมิคุ้มกันวิทยานี้  ทำให้ Pasteur และ Metchnikoff สามารถอธิบายเหตุผลแก่สาธารณชนได้ 

        หากเซลล์ภูมิคุ้มกันของบุคคลนั้นฉลาดและจำศัตรู (แบคทีเรียที่บุกรุก)ได้    จากนั้นฟาโกไซโตซิสจะกลืนกินและทำลายผู้บุกรุกทันที หากเม็ดเลือดขาวไร้ความสามารถ (ด้วยเหตุผล อะไรก็ตาม)   ผู้บุกรุกจะเข้าควบคุมและดำเนินการทำลายเหยื่อ     คำตอบคือ  ต้องให้ความรู้แก่ leucocytes เพื่อให้พวกมันสามารถรับรู้และทำลายจุลินทรีย์ที่บุกรุกได้     จึงก่อให้เกิดทฤษฎีที่ว่า  การฉีดสารตกค้างของโรค (เศษหนอง   ฉีดให้คนที่มีสุขภาพดี) จะกระตุ้นปฏิกิริยาภูมิคุ้มกัน (ทฤษฎีแอนติเจน/แอนติบอดี)    ดังนั้น  จึงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพเม็ดเลือดขาว      เพื่อให้พวกมันสามารถรับรู้ผู้บุกรุกและกลืนกินมัน    ร่างกายของเรามีจุลินทรีย์หนาแน่นทั้งภายในและภายนอก     สิ่งที่อาศัยอยู่ในร่างกายเรา  จะไม่ทำร้ายเรา  และจำเป็นต่อเรา     อยู่ในความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกัน เป็นประโยชน์ร่วมกัน และจำเป็นร่วมกันกับประชากรแบคทีเรียของเรา

      Leeuwenhoek ค้นพบสิ่งมีชีวิตบนตัวมนุษย์ด้วยกล้องจุลทรรศน์สมัยศตวรรษที่ 17    และพบว่า  สิ่งมีชีวิตจำนวนมากที่อาศัยอยู่กับเขา ไม่ใช่สาเหตุของโรค     ทัศนคติทางสังคมเกี่ยวกับแบคทีเรีย   มองในแง่ของสิ่งสกปรก ความสกปรก หรือความสะอาด    แม้แต่มุมมองของฟรอยด์  ก็ทำให้แบคทีเรียพัวพันกับทัศนคติทางเพศ     ปาสเตอร์กล่าวในช่วงหลังในอาชีพการงานของเขาว่า  เชื้อโรคและแบคทีเรียไม่ใช่สาเหตุหลักที่แน่นอนของโรค     เขาละทิ้งความเชื่อเดิมของเขาเกี่ยวกับทฤษฎีเชื้อโรค   และเชื่อว่า  โรคมาก่อน   เชื้อโรคมาทีหลัง เขากล่าวว่า “การมีเชื้อโรคอยู่ในร่างกาย   ไม่จำเป็นต้องมีความหมายเหมือนกันกับโรคติดเชื้อ”     ปาสเตอร์ทราบดีว่า  การหมัก (fermentation) (ซึ่งเขาศึกษาอย่างกว้างขวางในขณะที่กำหนดทฤษฎีเชื้อโรค) เกิดขึ้นเฉพาะในสสารที่ได้รับบาดเจ็บ, ฟกช้ำ หรือตาย     และแบคทีเรียนั้นเป็นผลมาจากการหมักตามธรรมชาติ    ไม่ใช่สาเหตุของการหมัก     เขาตระหนักในภายหลังว่า  เชื้อโรคและแบคทีเรียเปลี่ยนรูปแบบไปตามสภาพแวดล้อม    น่าเสียดายที่การแพทย์แผนปัจจุบันได้เข้ายึดครองเสียแล้ว   และปาสเตอร์ไม่สามารถย้อนกลับสถานการณ์ได้

         หนังสือเรียนเกี่ยวกับแบคทีเรียวิทยาเกือบทั้งหมดเปิดเผยว่า  ปกติในคอเรา  ประกอบด้วย:

1. Alpha-hemolytic streptococci

2. Neisseria (เชื้อหนองในและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ)

3. Coagulase-negative staphylococci

4. Staphylococcus Aureus

5. Group A streptococcus

6. Hemophilus hemolyticus

7. ยีสต์, diptheroids และ anaerobes

8. Pneumococci และ gram-negative bacillus

9. Gamma Streptococci

         แบคทีเรียก่อโรคส่วนใหญ่, ยีสต์, mold และเชื้อรา (fungus) เจริญเติบโตในค่า pH ที่ไม่สมดุล     แบคทีเรียต่อไปนี้ ซึ่งเป็นศัตรูที่รู้จักกันดีของสงครามแบคทีเรียในวิทยาศาสตร์สมัยใหม่    เติบโตอย่างเหมาะสมในสภาวะที่ไม่สมดุลของค่า pH:

สแตไฟโลคอคคัส (การติดเชื้อสแตฟ), เมนิงโกค็อกคัส (​meningococcus) (ไข้กาฬหลังแอ่น), สเตรปโทคอกคัส (คออักเสบ),                คอรีมแบคทีเรียม ดิพเทอเรีย (โรคคอตีบ), นิวโมคอคคัส (ปอดบวม หรือปอดอักเสบ (pneumonia)),                                               คลอสตริเดียม เตตานิ (​Clostridium Tetani) (บาดทะยัก), ฮีโมฟิลุส อินฟ​ลูเอนเซ่ (ไข้หวัดใหญ่) และอื่น ๆ

       

         ทฤษฎีเชื้อโรค, ทฤษฎีไวรัส, ทฤษฎีทางพันธุกรรม และทฤษฎีภูมิต้านตนเอง – ทฤษฎีสาเหตุของโรคร่วมสมัย – ล้วนมีพื้นฐานอยู่บนและพึ่งพาวิทยาภูมิคุ้มกัน (IMMUNOLOGY)    IMMUNOLOGY มีพื้นฐานมาจาก  และได้รับการสนับสนุนโดยแนวคิดวิวัฒนาการของดาร์วิน  อย่างไรก็ตาม   ทฤษฎีเชื้อโรคยังคงได้รับความเชื่อถือว่าเป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรค   เพราะยังมีโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนระดับโลกซึ่งเป็นประโยชน์ในเชิงพาณิชย์   ซึ่งสร้างอุตสาหกรรมมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ตามทฤษฎีนี้

Virus

         การไร้ความสามารถของทฤษฎีเชื้อโรค  เพื่อสนอง Postulates Of Koch (สมมติฐานของค็อค)…  ทฤษฎีไวรัส  ไม่สามารถพิสูจน์ได้ตามข้อกำหนดพื้นฐานของการพิจารณาทางวิทยาศาสตร์ให้เป็นทฤษฎีได้      Dorland’s Illustrated Medical Dictionary ให้ความหมายว่าไวรัส  เป็นสารขนาดเล็ก ที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อ ที่ไม่สามารถแยกความแตกต่างด้วยกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง (light microscope)         มันไม่มีเมตาบอลิซึมที่เป็นอิสระ   และสามารถทำซ้ำ (replicate ตัวเอง) ภายในเซลล์ host ที่มีชีวิตเท่านั้น     virion ถูกกำหนดให้เป็นอนุภาคไวรัสที่สมบูรณ์  ซึ่งพบภายนอกเซลล์ host    และสามารถอยู่รอดได้ในรูปแบบผลึก (crystalline form)  และสามารถแพร่เชื้อไปยังเซลล์ที่มีชีวิตได้    กล่าวอีกนัยหนึ่ง   ไวรัสที่ฉลาดที่สุด (ไม่มีสมองหรือระบบประสาท) เอาชนะเยื่อหุ้มเซลล์ (ผู้พิทักษ์ของไซโทพลาซึม) ผ่านเข้าไปในเซลล์ภายใน   แอบย่องหลบไลโซโซม  ที่ปกติแล้วจะกลืนกินและย่อยสลายสิ่งที่เน่าเปื่อยภายในเซลล์  หรือสิ่งแปลกปลอม    หลอกไรโบโซมและพอลิโซม ให้เชื่อว่า  ไวรัสเป็นกรดอะมิโนที่เป็นมิตร     แล้วเข้าสู่สายโซ่พอลิเปปไทด์ของส่วนของกรดอะมิโน   แล้วเข้าควบคุมไรโบโซม (ทำรัฐประหาร)    ขยายพันธุ์หลายครั้งแล้วจึงขับ virion (crystalline) ออกมา  เพื่อโจมตีเซลล์ที่อยู่ติดกัน!

        นักล่าแบคทีเรียชาวรัสเซีย Dimitri Iwanowski ซึ่งรวบรวมของเหลวจากต้นยาสูบที่เป็นโรค ประสบความสำเร็จในการแยกเชื้อไวรัสครั้งแรกในปี 1892     เขาเอาของเหลวนี้ผ่านตัวกรองที่ละเอียดพอที่จะกรองแบคทีเรียออก    ทว่า Iwanowski แปลกใจมาก ที่ของเหลวที่กรองเอาแบคทีเรียออกแล้วนี้  ทำให้พืชที่มีสุขภาพดีป่วยได้    ในปี พ.ศ. 2441 นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์   Martinus Willem Beijerinck ได้ทำการทดลองซ้ำ   และพบว่ามีเชื้อที่มองไม่เห็น   และตั้งชื่อเชื้อนี้ว่า “tobacco mosaic virus”    ในปีเดียวกับที่ Beijerinck รายงาน        นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน 2 คน  ได้กรองของเหลวที่ประกอบด้วยไวรัสที่ทำให้เกิดโรคปากและเท้าเปื่อยในโค      วอลเตอร์ รีด ตามมาในปี 1901   ด้วยการค้นพบไวรัสทำให้เกิดไข้เหลือง    และในไม่ช้าก็พบไวรัส “ที่ก่อให้เกิดโรค” อื่น ๆ อีกหลายสิบตัว   ในปี พ.ศ. 2478         เวนเดลล์ เอ็ม. สแตนลีย์  ชาวอเมริกันอีกคนหนึ่ง   ได้กลับไปยังจุดเริ่มต้น   และสร้างผลึก tobacco mosaic virus บริสุทธิ์จากสารละลายของเหลวที่ผ่านการกรอง     เขายืนยันว่า  คริสตัลเหล่านี้สามารถแพร่ระบาดในพืชได้ง่าย และสรุปว่า  ไวรัสไม่ใช่สิ่งมีชีวิต เนื่องจากสามารถตกผลึกได้เหมือนเกลือและยังคงแพร่เชื้อได้    ต่อจากนั้น นักแบคทีเรียวิทยาทั่วโลกเริ่มกรองหาไวรัส    และเกิดสาขาใหม่ของชีววิทยา นั่นคือ ไวรัสวิทยา (virology)    ในอดีต วิทยาศาสตร์การแพทย์วนเวียนกับคำถามที่ว่า  ไวรัสยังมีชีวิตอยู่หรือไม่    เดิมทีมันถูกอธิบายว่าไม่มีชีวิต แต่ปัจจุบันมีการกล่าวกันว่า  เป็นโมเลกุลที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง  หรือเป็นจุลินทรีย์ที่เรียบง่ายอย่างยิ่ง   และมักถูกเรียกว่าปรสิตที่มีวัฏจักรชีวิต    โดยทั่วไปประกอบด้วยแกน DNA หรือ RNA ที่มีโปรตีนปกคลุม และไม่มีความสามารถในการสืบพันธุ์โดยธรรมชาติ     ไวรัสต้องพึ่งพาโฮสต์ในการขยายพันธ์     พวกมันต้องใช้กรดนิวคลีอิกของเซลล์ที่มีชีวิตที่ติดเชื้อ  เพื่อผลิตโปรตีน ซึ่งจากนั้นจะประกอบเป็นไวรัสตัวใหม่    เหมือนรถยนต์ในสายการผลิต    ในทางทฤษฎี นี่เป็นวิธีเดียวของไวรัสในการเอาชีวิตรอดและแพร่เชื้อไปยังเซลล์หรือโฮสต์ใหม่      

         พื้นฐานของการเกิดไวรัสวิทยาคือ  หลักคำสอนของ monomorphism ที่ว่า  จุลินทรีย์ทั้งหมดเป็นชนิดพันธุ์ตายตัว ไม่เปลี่ยนแปลง  ตามพยาธิวิทยาแล้ว  แต่ละชนิดทำให้เกิดโรคได้เพียงโรคเดียว    ไมโครฟอร์มนั้นไม่เคยเกิดขึ้นจากภายนอก กล่าวคือ มีจุดกำเนิดที่แน่นอนภายในโฮสต์    และเลือดและเนื้อเยื่อจะปลอดเชื้อภายใต้สภาวะปกติ    ในทางทฤษฎี ภายใต้สภาวะสุขภาพในอุดมคติ เลือดอาจปราศจากเชื้อ แม้ว่าจะมีศักยภาพโดยธรรมชาติในการพัฒนาไมโครฟอร์มที่ผิดปกติ ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้    อย่างไรก็ตาม การสังเกตโดยการตรวจ live blood เป็นเวลานานและซ้ำๆ ในกล้องจุลทรรศน์แบบ phase-contrast, dark-field    แสดงให้เห็นว่า  เลือดสามารถมีไมโครฟอร์มต่างๆ ในตัวโฮสต์ที่ไม่มีอาการ หรืออยู่ในสภาพ หรืออยู่ในสภาพที่กำหนดไว้ว่าเป็นปกติหรือสมบูรณ์      Monomorphism เป็นรากฐานที่สำคัญของการพัฒนาในการวิจัยและการรักษาทางการแพทย์ในศตวรรษที่ 20     การปฏิเสธโดยการแพทย์กระแสหลัก  ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึง pleomorphism  – ว่า  ไวรัสและแบคทีเรีย, ยีสต์, เชื้อราและ mold เป็นวิวัฒนาการจาก microzyma;    microforms นั้นสามารถเปลี่ยนรูปแบบได้อย่างรวดเร็ว (วิวัฒนาการ) ในร่างกาย ทีละรูปแบบ ขึ้นอยู่กับ biological terrain (สิ่งแวดล้อมในร่างกาย)     เลือดและเนื้อเยื่อไม่จำเป็นต้องปลอดเชื้อ และไม่มีโรคเฉพาะเจาะจง   มีแต่สภาวะของโรคที่เฉพาะเจาะจงเท่านั้น   ซึ่งเป็นรากฐานของข้อถกเถียงกัน        การพิสูจน์เหล่านี้เริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังกับ Antoine Béchamp ในศตวรรษที่สิบเก้า

         ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20   มีการถกเถียงกันอย่างดุเดือดเกี่ยวกับแบคทีเรียที่กรองได้และไม่สามารถกรองได้    นี่เป็นการต่อสู้ครั้งสำคัญเกี่ยวกับสัณฐานภายใต้กล้องจุลทรรศน์ (micromorphology)     ทัศนะดั้งเดิมมีชัย: รูปแบบของแบคทีเรียไม่เล็กพอที่จะผ่าน หรือไม่มีระยะ earlier stage ที่เล็กกว่า     สิ่งที่ผ่านตัวกรอง “ป้องกันแบคทีเรีย” คืออย่างอื่น เช่น ไวรัส     ตำราแพทย์มาตรฐาน   กำหนดการกรองแยกความแตกต่างระหว่างแบคทีเรียและไวรัส    อย่างไรก็ตาม ต่อมา ลักษณะเซลล์ของรูปแบบที่สามารถกรองได้หลายรูปแบบ แต่เดิมคิดว่าเป็นไวรัส เช่น มัยโคพลาสมาบางชนิด, ริกเกตเซีย และกลุ่มอื่นๆ    ด้วยชัยชนะของมุมมอง monomorphic    ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับ “โรค” ติดเชื้อได้หายไป    กลายเป็นยุคของมะเร็ง, อาการที่เกิดจากความเสื่อม และโรคเอดส์

        แบคทีเรียทั่วไปมีขนาดประมาณ 1 ไมครอน     สิ่งที่ผ่านการกรองได้   ส่วนใหญ่ในปัจจุบันเรียกว่า  ไวรัส   มีขนาดตั้งแต่ 0.3 ไมครอนถึง 0.01 ไมครอน – บางส่วนอยู่ในช่วงคอลลอยด์     ไวรัสที่ใหญ่   ส่วนใหญ่เป็นขนาด1/3 ถึง 1/4 ของแบคทีเรียโดยเฉลี่ย     ขนาดมีความสำคัญ   เนื่องจาก 0.3 ไมครอนเป็นขีดจำกัดความละเอียดของกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงสมัยใหม่    ดังนั้น เมื่อมีการค้นพบไวรัส พวกมันจึงต้องใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนเพื่อส่องดู   โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่า  เทคโนโลยีและการทำงานของกล้องจุลทรรศน์ของ Royal Rife ถูกทำลายโดยผลประโยชน์ที่ได้รับ    โชคไม่ดีที่กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนและกระบวนการย้อมสีเคมี   ทำให้ตัวอย่างทั้งหมดบิดเบือน    ในขณะที่เทคโนโลยีของ Rife อนุญาตให้ชีวิตดำเนินไปและมีวิวัฒนาการภายใต้เลนส์ของมัน               เมื่อเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าสามารถมองเห็นไวรัสได้     สิ่งที่ทราบกันจริงๆ เกี่ยวกับไวรัสก็คือ ตามข้อมูลของ Biochemistry, Lubert Stryer, 2nd Edition, 1981…  “เป็นปรสิตภายในเซลล์ที่สืบพันธุ์ได้เองอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด”    แต่ในประโยคถัดไป: “ไวรัสไม่สามารถสร้างพลังงาน, เมตาบอลิซึม หรือสังเคราะห์โปรตีนได้”–  มันเป็นความขัดแย้ง!    บางที สักวันหนึ่งในไม่ช้า ด้วยการปรับปรุงกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน   เราจะพบว่า  สิ่งที่ถูกเรียกและจำแนกเป็นไวรัสในขณะนี้   จะพิสูจน์ได้ว่า  เป็นการตกผลึกภายในเซลล์ของกระบวนการแคแทบอลิซึมของโปรตีน   ซึ่งหมายถึงกระบวนการทำลายล้างโดยที่สารที่ซับซ้อนจะถูกแปลงเป็นสารประกอบธรรมดา

        หนังสือ A Textbook Of Medicine ฉบับที่ 7 ของ Russell L. Cecil (1947) กล่าวว่า   สิ่งที่ยังคงเป็นอยู่ในปัจจุบัน  คือ: “ธรรมชาติของไวรัสยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด   แต่ข้อเท็จจริงบางอย่างปรากฏเป็นอย่างดี    ปัจจุบัน  มันเป็นการสะดวกในการนึกถึงไวรัสราวกับว่า  เป็นปรสิตภายในเซลล์ที่มีขนาดเล็กมาก”    จากสาเหตุใดก็ตาม   เมื่อโครงสร้างโปรตีนของไซโตพลาสซึมของเซลล์ได้รับความเสียหาย    ถุงของเอนไซม์ภายในเซลล์ที่เรียกว่า  ไลโซโซม   จะปล่อยเอนไซม์สลายโปรตีนที่ตายแล้วของไซโตพลาสซึม    ด้วยการตายของเซลล์และการสลายตัวของนิวเคลียสของเซลล์    ribonuclease และเอนไซม์ดีออกซีไรโบนิวคลีเอส  เร่งปฏิกิริยาดีพอลิเมอไรเซชันของอาร์เอ็นเอและดีเอ็นเอ   โดยให้นิวคลีโอโปรตีนอิสระที่ “ดูเหมือนไวรัส” เมื่อมองด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน    สามารถเขียนเป็นเล่มๆ  เกี่ยวกับสมมติฐาน, ทฤษฎี ที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันวิทยา, ทฤษฎีเชื้อโรค และทฤษฎีไวรัส     นักไวรัสวิทยาในปัจจุบันจะระบุว่า   “ไวรัส” ยังคงอยู่  และซ่อนอยู่ในร่างกาย    และหน่วยงานชั้นนำบางแห่งเปิดเผยว่า  จริง ๆ แล้ว  ไวรัสเหล่านี้  มันซ่อนอยู่ในปลอกประสาทของเรา

วิทยาภูมิคุ้มกัน (Immunology)

         หากแนวคิดของภูมิคุ้มกันวิทยาสามารถพิสูจน์ได้ในทางใดทางหนึ่ง   แสดงว่าวิวัฒนาการทำให้เราผิดหวังจริงๆ     สิ่งเดียวที่ได้รับประโยชน์จากความก้าวหน้าของวิวัฒนาการคือ  จุลินทรีย์ที่เอาชนะมนุษย์   ไวรัสที่ฉลาดกว่าเยื่อหุ้มเซลล์      หากปฏิกิริยาแอนติเจน/แอนติบอดีเป็นจริง…  เรายังถูกกระตุ้นโดย anaphylaxis (ปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรงของสิ่งมีชีวิตต่อโปรตีนจากภายนอกที่ฉีดเข้าไป        การฉีดดังกล่าว  ทำให้สัตว์หรือมนุษย์มีความไวมากเกินไปต่อการฉีดยาในภายหลัง) ซึ่งไม่สามารถเกิดขึ้นได้ภายใต้สถานการณ์ต่างๆ         Dr. WH Manwaring ศาสตราจารย์ด้าน Bacteriology and Experimental Pathology ที่มหาวิทยาลัย Leland Stanford ประกาศว่า           “ไม่เพียงแต่ไม่มีหลักฐานว่าแอนติบอดีเหล่านี้ก่อตัวขึ้น   แต่มีเหตุให้เชื่อว่า  โปรตีนจากเชื้อที่ฉีดเข้าไป  จะไฮบริไดซ์กับโปรตีนในร่างกายเพื่อเกิดเป็นสิ่งใหม่  ซึ่งลักษณะและผลกระทบไม่สามารถคาดเดาได้    แม้แต่สารจากแบคทีเรียที่ไม่เป็นพิษ    ในบางครั้งก็ไฮบริไดซ์กับอัลบูมินในซีรัม  เพื่อสร้างพิษบางอย่าง  ทำอันตรายโดยที่ไม่มีใครรู้   ในขณะที่การแพร่กระจายของมันอาจดำเนินต่อไปตราบเท่าที่เรายังมีชีวิตอยู่”      การศึกษา 12 ปี  ด้วยการทดสอบภูมิคุ้มกันและสรีรวิทยา (immuno-physiological tests) ได้ให้ผลการทดลองจำนวนมากที่ขัดต่อทฤษฎีเอห์ริลิช (Ehrilich theory – สมมุติฐาน Lock and Key ของ Dr.Paul Ehrlich ( side chain theory ) ที่เสนอมาว่า  ต้องมี ligand กับ receptor 1:1 มาจับกัน แล้วจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางชีววิทยา)   ทำให้ผมเชื่อว่า  ความคิดของเขาเรื่องที่มา, ธรรมชาติ และบทบาททางสรีรวิทยาของ “แอนตี้บอดี้” ที่เฉพาะเจาะจงนั้น  ไม่ถูกต้อง

        ปฏิกิริยาที่เป็นอันตรายและไม่คาดคิดมากมายเกิดขึ้นระหว่างการทดลองครั้งแรก    อย่างไรก็ตาม สันนิษฐานที่ว่า  เนื่องจากมนุษย์และสัตว์มาจากจุดเริ่มต้นทางวิวัฒนาการอย่างเดียวกัน    เศษส่วนจากเชื้อ  อาจถูกฉีดเข้าไปในสัตว์ก่อน และซีรัมของสัตว์จะผลิตแอนติบอดีที่มนุษย์ยอมรับได้     แนวคิดนี้  ไม่ได้รับความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์ทั่วไป   จนกระทั่ง Charles Darwin (1809-1882)   พบ “หลักฐาน” ที่อ้างว่า  มนุษย์และสัตว์ชั้นล่างเป็นพี่น้องกันโดยสายเลือด    ตามที่ Dr. Frances K. Widmann, MD, รองศาสตราจารย์ด้านพยาธิวิทยาที่ Duke University กล่าวในการพิมพ์การตีความทางคลินิกของการทดสอบในห้องปฏิบัติการในปี 2522 หน้า 439 ของเธอว่า:   “ความจริงที่ว่า ซีรั่มของผู้ป่วยมีแอนติบอดีเฉพาะ   ไม่ได้พิสูจน์ว่า การเจ็บป่วยล่าสุด หรือที่เป็นอยู่ของผู้ป่วย  เกิดจากเชื้อนั้น    หากซีรั่มมีแอนติบอดีเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยในช่วงเริ่มต้นของการเจ็บป่วย   และหากมีระดับสูงขึ้นในตัวอย่างที่เก็บในช่วงที่ผู้ป่วย “พักฟื้น” ในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา  จะเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่า  การเจ็บป่วยนั้น เกิดจากเชื้อนั้น”     เธอกล่าวต่อในหน้า 401 ว่า:   “สงครามระหว่างจุลินทรีย์ (เชื้อโรคและไวรัส) ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง     “ยามหัศจรรย์” ไม่ได้กำจัดโรคติดเชื้อ    พวกมันเพียงเปลี่ยนสภาพและประวัติตามธรรมชาติของการติดเชื้อจำนวนมาก     สิ่งมีชีวิต (จุลินทรีย์) แสดงความสามารถในการปรับตัวที่น่าทึ่ง   เพื่อให้ยาที่มีผลในวันนี้ ไม่ได้ผลกับการติดเชื้อชนิดเดียวกันในวันพรุ่งนี้”    ไม่แปลกหรือ  ที่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่จะหยั่งรากลึกในทฤษฎีเชื้อโรค  จนไม่สามารถเข้าใจได้ว่า  การติดเชื้อไม่ใช่การติดเชื้อ…แต่เป็นการอักเสบ    

Microzymas

“From dust you are and to dust you shall return” Genesis 3:19

“เจ้ามาจากผงธุลี และเจ้าจะกลับมาเป็นผงธุลี” ปฐมกาล 3:19

         30 ปี ก่อนการเกิดสมมติฐานเรื่อง monomorphism    เบช็องให้ความสนใจกับ “molecular granulations” เล็กๆ ที่พบในเซลล์ของร่างกาย ซึ่งผู้สังเกตการณ์คนอื่นๆ สังเกตเห็นก่อนหน้าเขา     พวกมันถูกกล่าวถึงเพียงเล็กน้อย  และไม่มีใครระบุสถานะหรือหน้าที่ของพวกมันได้    หลังจาก 10 ปีแห่งการทดลองอย่างถี่ถ้วน    เบช็องได้เปิดเผยให้โลกเห็นในปี พ.ศ. 2409 ว่า  แกรนูลเป็นองค์ประกอบที่มีชีวิต        เขาเรียกชื่อพวกมันใหม่ว่า   microzymas ซึ่งหมายถึง “small ferments”    ในช่วง 13 ปี ต่อมา    เบช็องกับศาสตราจารย์เอสตอร์ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานที่อุทิศตน  ได้พัฒนาและปรับแต่งทฤษฎีไมโครไซมา

         สาระสำคัญของทฤษฎีนี้คือ   microzyma ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่มีชีวิตอย่างอิสระ  มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด   และเป็นทั้งผู้สร้างและผู้รีไซเคิลของสิ่งมีชีวิต     มันอาศัยอยู่ในเซลล์, ของเหลวระหว่างเซลล์, เลือด และน้ำเหลือง    ในสภาวะที่มีสุขภาพดี    microzymas ทำหน้าที่อย่างกลมกลืน  และการหมักเกิดขึ้นตามปกติอย่างเป็นประโยชน์    แต่ในสภาพของโรค    microzymas จะถูกรบกวนและเปลี่ยนรูปแบบและหน้าที่ของพวกมัน     พวกมันพัฒนาไปเป็นรูปแบบจุลชีพ (เชื้อโรค) ที่ส่งผลให้เกิดโรค และทำให้เกิดอาการ    กลายเป็นสิ่งที่เบช็องเรียกว่า  ไมโครไซมาที่มี “วิวัฒนาการอย่างผิดปกติ”     สิ่งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศภายในร่างกายของเรา  โดยวิธีการกินและการใช้ชีวิตที่ไม่ดี     Béchamp สังเกตเห็นแกรนูลที่มาเชื่อมติดกัน  และยืดออกเป็นแบคทีเรีย    ดังนั้น  เขาจึงสังเกต, สำรวจ และแสดงแนวคิดเรื่อง pleomorphism ก่อน    โดยมันเป็นรากฐานของการจัดระเบียบในร่างกาย    การเปลี่ยนแปลงของไมโครไซเมียน  สร้างเซลล์ขึ้น  และในที่สุดกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทั้งมวลที่มันอาศัยอยู่     หน้าที่ของพวกมันเป็นสองเท่า   เพราะพวกมันพร้อมที่จะรีไซเคิลร่างกายเมื่อตาย     มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถสร้างหรือทำลายได้    และเป็นสารตั้งต้นของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล

        microzyma เป็นการหมัก:   ธาตุที่มีชีวิตที่สามารถหมักน้ำตาลได้    นี่เป็นกระบวนการย่อย (ทางเคมี) ที่ดำเนินการโดยเอนไซม์ (จากภาษากรีกหมายถึง “การหมัก”)     การหมักมีหลายประเภท  ขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย     แอลกอฮอล์เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ดังกล่าว   ดังนั้น  จึงมีการหมักแอลกอฮอล์ (alcoholic fermentations)    นอกจากนี้  ยังมีการหมักแลคติก (lactic fermentations)  ซึ่งส่งผลให้มีการผลิตกรดแลคติก     การหมักแบบนี้เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดที่เราทุกคนคุ้นเคย     เบชอง มองว่า  กระบวนการของชีวิต  เป็นการสลายเซลล์อย่างต่อเนื่องโดยการหมักแบบไมโครไซเมียน แม้แต่ในร่างกายที่แข็งแรง    การซ่อมแซม การเกิดใหม่ ก็เกิดขึ้นจากไมโครไซมาเช่นกัน    เมื่อมีอาการเจ็บป่วย    การสลายตัวที่เกิดจากการหมัก  ไม่เพียงแต่จะถูกเร่งขึ้นเท่านั้น แต่ยังถูกยึดอำนาจโดยวิวัฒนาการที่ผิดปกติ ซึ่งรวมถึงแบคทีเรีย ยีสต์ เชื้อรา และ mold    เหล่านี้คือรูปแบบการพัฒนาของ microzyma ซึ่งกินสารสำคัญในร่างกาย ส่งผลให้เกิดอาการของโรคที่เกิดจากความเสื่อม

Enzymes (เอ็นไซม์)

         ไม่เพียงแต่การหมักเท่านั้น   แต่ปฏิกิริยาเคมีเกือบทั้งหมดในร่างกายดำเนินการหรือควบคุมโดยเอนไซม์     เอนไซม์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ซึ่งเป็นสารที่ช่วยในกระบวนการทางเคมี     พวกมันเป็นโปรตีนที่ซับซ้อนและบางทีอาจเป็นสารในร่างกายที่น่าทึ่งที่สุด     พวกมันบรรลุปฏิกิริยาที่ซับซ้อนอย่างรวดเร็วที่อุณหภูมิของร่างกาย  ซึ่งจะใช้เวลาหลายวันในห้องปฏิบัติการด้วยอุปกรณ์พิเศษ  หรืออาจเป็นไปไม่ได้เลย จากการค้นพบของเบชอง   เป็นไปได้ว่า  เอ็นไซม์ สร้าง หรือกลายเป็นจุลินทรีย์เอง    เป็นที่ทราบกันดีว่า  เอนไซม์ มีส่วนในการซ่อมแซมยีนที่เสียหาย ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่กำหนดและควบคุมพันธุกรรมและหน้าที่ของเรา     เบชอง แนะนำว่า  ไมโครไซมา จับตัวเป็นก้อนเพื่อเป็นสารพันธุกรรม     เอ็นไซม์เป็นสารที่ค่อนข้างวิเศษและลึกลับ    เบื้องหลังทุกเอนไซม์คือไมโครไซมา    ในแง่หนึ่ง ยีนอาจถูกมองว่าเป็นเครื่องมือของไมโครไซมา     กลไกในการซ่อมแซมอาจเป็นได้ว่า  เอ็นไซม์ สร้าง หรือกลายเป็นโปรตีนซ่อมแซม ซึ่งต่อจากนั้นก็ต่อเข้ากับยีน       มีความเป็นไปได้ที่ว่า  นี่คือสิ่งที่ “ไวรัส” เป็น   นั่นคือ โปรตีนซ่อมแซม  หรือโครงสร้างที่ซ่อมแซมยีน ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เกิดอาการ     ไวรัสส่วนใหญ่ประกอบด้วยแกนกลางของสารพันธุกรรมที่ล้อมรอบด้วยชั้นเคลือบโปรตีน

        กระบวนการซ่อมแซมถูกเข้าใจผิดโดยชีววิทยาศาสตร์กระแสหลักว่าเป็นโรค    และเครื่องมือที่เรียกว่า โปรตีนซ่อมแซม ถูกเรียกว่าไวรัส โดยเฉพาะ Retroviruses       Retroviruses มีความสามารถในการแทรกตัวเองเข้าไปใน DNA ของเรา    สมมุติว่านี่คือสิ่งที่ retrovirus HIV ทำ     ผู้สังเกตการณ์ที่มีอคติ  สามารถสรุปได้โดยง่ายว่าสิ่งนั้นไม่ควรอยู่ที่นั่น    นั่นเป็นข้อผิดพลาดประเภทหนึ่งซึ่งความคิดทางวิทยาศาสตร์ที่มีเงื่อนไขสามารถนำไปสู่ทฤษฎีเชื้อโรคได้ เนื่องจากไวรัสไม่มีกลไกการสืบพันธุ์ จึงต้องใช้เซลล์โฮสต์ในการแพร่พันธุ์   แต่บางทีเหตุผลที่พวกมันไม่สามารถเพิ่มจำนวนนอกเซลล์ได้ก็เพราะ  พวกมันถูกสร้างให้เป็นเช่นนั้น    บางที  บางสิ่งบางอย่างในเซลล์กำลังผลิตหรือกลายเป็นไวรัสด้วยเหตุผลบางอย่าง    มีความเป็นไปได้ที่ไวรัสอาจมีไมโครไซมาที่ซับซ้อนอยู่ตรงกลาง    และเช่นเดียวกับแบคทีเรีย    วิทยาศาสตร์การแพทย์แบบโมโนมอร์ฟิค  ไม่มีคำอธิบายว่า  พวกมันมาจากไหนตั้งแต่แรก    อย่างไรก็ตาม   Pleomorphism สามารถแนะนำคำตอบได้อย่างง่ายดาย

        โรคภัยไข้เจ็บทำให้ระบบเอนไซม์ของเราอ่อนแอลง   ทำให้เกิดโครงสร้างการซ่อมแซมที่ “ไม่เหมาะสม” ได้    เนื่องจากเอ็นไซม์ต้องมีแร่ธาตุจึงจะสามารถทำงานได้    แม้แต่การขาดแร่ธาตุธรรมดาๆ  ก็อาจเกี่ยวข้องกับความล้มเหลวของการซ่อมแซมยีน     โครงสร้างโปรตีนที่ผิดพลาด  อาจยังสามารถเข้าไปใน DNA ได้   แต่อาจทำให้เกิดความผิดปกติได้    ถ้าเป็นเช่นนั้น มันจะล้มเหลวในการบรรลุวัตถุประสงค์เดิมอย่างถูกต้อง และอาจกระตุ้นให้เกิดสถานการณ์ผิดปกติอื่นในเซลล์เช่นกัน     ความเป็นไปได้อีกประการหนึ่งคือ  แม้ว่าโครงสร้างการซ่อมแซมจะถูกต้อง    การขาดสารอาหารหรือการลดลงของศักยภาพของเอนไซม์อาจขัดขวางการทำงานที่เหมาะสม    เมื่อโครงสร้างโปรตีนล่องลอยไป    มันสามารถพัฒนาไปสู่รูปแบบที่ก่อโรคได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์     มันอาจพัฒนาเป็นแบคทีเรีย    สิ่งนี้ได้รับการบันทึกไว้อย่างดีในบทที่สูญหายไปในประวัติศาสตร์ของชีววิทยาการแพทย์    และในสภาพภูมิประเทศภายในร่างกาย (terrain) ที่ไม่เหมาะสม    แบคทีเรียในปัจจุบันอาจเป็นยีสต์ เชื้อรา หรือราที่เป็นพิษต่อ terrain ในวันพรุ่งนี้     ปาสเตอร์ ปฏิเสธว่า  แบคทีเรียสามารถเปลี่ยนรูปแบบได้      เขากล่าวว่า  มีเพียงเชื้อโรคที่ไม่เปลี่ยนแปลงในอากาศเท่านั้น  ที่เป็นสาเหตุของโรค    ในทางกลับกัน Béchamp ไม่เคยปฏิเสธว่าอากาศมีเชื้อโรคอยู่   แต่เขายืนยันว่า  รูปแบบในอากาศไม่จำเป็นต้องก่อโรค     ปาสเตอร์ต้องการพิสูจน์ว่า  เราถูกรุกราน (และดังนั้น  จึงต้องได้รับการคุ้มครองโดยการฉีดวัคซีนที่ทำกำไรได้)    แต่นักวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงได้แสดงให้เห็นว่า  องค์ประกอบที่มีชีวิตอย่างอิสระ ซึ่งสามารถวิวัฒนาการอย่างผิดปกติ ได้มีอยู่แล้วในทุกเซลล์ของร่างกาย   และแสดงให้เห็นหลักฐานว่า  แค่นี้ก็สามารถทำให้เกิดการปรากฏตัวของสิ่งมีชีวิตที่ทำให้เกิดอาการ    ตามธรรมชาติแล้ว  ร่างกายมีปัจจัยและศักยภาพที่จำเป็นในการผลิตอาการของโรค   รวมทั้งจุลินทรีย์               และหมายความว่า  เรายังมีความสามารถโดยธรรมชาติในการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอีกด้วย

        ปาสเตอร์ หรือเบชอง  ใครกันแน่ที่พูดถูก  ยังเป็นปัญหาสำหรับบางคน    ดูเหมือนผิดปกติ  ที่ชื่อของ Antoine และการโต้เถียงนั้นถูกลบไปจากประวัติศาสตร์ หนังสือทางการแพทย์และชีววิทยา แม้กระทั่งสารานุกรม    เมื่อพิจารณาจากขนาดและจำนวนการค้นพบของเบชองแล้ว    การละเลยนี้เป็นมากกว่าการมองข้าม     การลบ Antoine Béchamp ทางประวัติศาสตร์นี้   ส่งผลให้วิทยาศาสตร์การแพทย์สรุปผลจากความจริงเพียงครึ่งเดียว    นี่หมายถึงความทุกข์ยากที่นับไม่ถ้วนสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตะวันตก     แนวคิดของการเกิดโรคในฐานะเป็นสิ่งที่โจมตีเรานั้น  เป็นที่น่าสงสัยอย่างมาก  และเป็นอุปสรรคสำคัญในการแก้ไขปัญหาด้านการดูแลสุขภาพในปัจจุบัน

        สิ่งที่แปลกคือ ปาสเตอร์เองได้ยอมรับบนเตียงในขณะที่เขากำลังจะตายว่า   “คลอดด์ เบอร์นาร์ด พูดถูก    จุลินทรีย์ไม่สำคัญเลย ภูมิประเทศในร่างกาย (terrain) ต่างหากที่สำคัญที่สุด”    แต่แม้ในขณะที่เขากำลังจะตาย   เขาก็จะไม่ให้เครดิตกับคนที่ค้นพบความจริงข้อนี้  ซึ่งเป็นคนที่สมควรได้รับ  นั่นคือ  — อองตวน เบชอง!     สิ่งมีชีวิตหนึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้หลายรูปแบบอย่างรวดเร็วและอาจอยู่ในหลาย stages ในคราวเดียว     สารพิษ (กรด) จากไมโครฟอร์มทั้งหมดรวมกันทำให้เกิดอาการ   หรือกระตุ้นให้ร่างกายผลิตออกมา     ผลผลิตที่เป็นพิษของยีสต์ เชื้อรา และ mold  เป็นปัจจัยก่อกวนหลักในร่างกาย   แต่ไม่ใช่ไมโครฟอร์มเองที่ทำให้เกิดโรค    พวกมันปรากฏตัวขึ้นเนื่องจากภูมิประเทศทางชีวภาพภายในร่างกาย (terrain) ที่ไม่เหมาะสมเท่านั้น     pleomorphism สามารถสังเกตได้  หากเพียงวิทยาศาสตร์การแพทย์จะยอมที่จะดูเท่านั้น    เมื่อวัฏจักรของการพัฒนานี้เริ่มต้นขึ้น    มันจะกระทบต่อภูมิประเทศทางชีวภาพภายในร่างกาย (terrain)   ทำให้เกิดวงจรอุบาทว์ของความไม่สมดุล    ดังที่อธิบายไว้ก่อนหน้านี้    มนุษย์พึ่งพาจุลินทรีย์บางชนิดในการดำรงชีวิต   เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงทุกชนิดบนโลก    จุลินทรีย์เหล่านี้อาศัยอยู่ในทางเดินอาหารของเราเป็นหลัก    นี่คือข้อเท็จจริงที่เถียงไม่ได้ การจินตนาการถึงจุลินทรีย์อื่นๆ ที่อาจเข้ามาแทนที่ได้ไม่ยากนัก  หากแหล่งอาศัยเปลี่ยนแปลงไป     การบุกรุกไม่จำเป็นต้องทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น พวกมันสามารถวิวัฒนาการได้จากเซลล์ใดๆก็ตาม     การเข้าใจหลักการของ pleomorphism และภูมิประเทศทางชีวภาพภายในร่างกาย (terrain)  คือการเข้าใจว่า  ทำไมเราถึงป่วยและเหนื่อย    เมื่อเราเข้าใจเหตุผลที่เราป่วยและเหนื่อยล้า    เราสามารถเริ่มเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเราที่จำเป็น  เพื่อให้ร่างกายของเรากลับมาสมดุลอีกครั้ง

Dark-Field Microscopy (กล้องจุลทรรศน์แบบดาร์คฟิลด์)

         โดยการตรวจสอบเลือดภายใต้กล้องจุลทรรศน์แบบ dark-field, phase-contrast    ทำให้สามารถมองเห็นรูปแบบ pleomorpic ได้  การวิเคราะห์ live-cell analysis นี้  ยังใช้ในชีววิทยาทางทะเลสำหรับการสังเกตสิ่งมีชีวิตในทะเลขนาดเล็กที่มีผิวหนังชั้นนอกที่เปราะบาง กล้องจุลทรรศน์กำลังสูงสามารถขยายวัตถุได้สูงถึง 28,000 เท่า   ทำให้สามารถมองเห็นรูปแบบแบคทีเรียและเชื้อราได้อย่างชัดเจนในรายละเอียดที่เป็นจริงในเลือด!     ตัวอย่างเลือดถูกส่องด้วยเครื่องมือพิเศษในกล้องจุลทรรศน์ที่เรียกว่าเฟสคอนทราสต์คอนเดนเซอร์     วัตถุภายใต้เลนส์ปรากฏขึ้นบนพื้นหลังสีดำและ/หรือสีเทา     ทำให้ได้ภาพคุณภาพที่เหนือกว่า    สามารถเห็นเซลล์เม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว, exotoxins ที่ตกผลึก, สารพิษจากเชื้อรา, โคเลสเตอรอล, โลหะ; ลิ่มเลือด; สัญญาณของการขาดออกซิเจน ไขมันที่ไม่ถูกย่อย; แบคทีเรีย ยีสต์ เชื้อรา และอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งหมดนี้อยู่ในเลือดเพียงหยดเดียว!     การดู live blood บนสไลด์หรือในวิดีโอ เราจะสามารถเห็นแบคทีเรีย ยีสต์ เชื้อรา และ mold ที่กำลังกินอาหาร และเติบโต  ในขณะที่เลือดของเราสูญเสียสารอาหารและออกซิเจน    ที่น่าทึ่งที่สุดคือ  การได้เห็นรูปแบบเหล่านี้ออกมาจากเซลล์เม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวที่แข็งแรงก่อนหน้านี้!     พวกมันอาศัยสารอาหารที่สำคัญของร่างกายคุณ เช่น กลูโคส โปรตีน ไขมัน เฮโมโกลบิน เนื้อเยื่อ และอวัยวะ     พวกมันจะเปลี่ยนรูปแบบเมื่อมีออกซิเจน

        

สถานพยาบาลของอเมริกาไม่ให้ความสำคัญกับการตรวจ live blood     พวกเขามุ่งเน้นที่การวิเคราะห์ทางเคมีเป็นหลักเพื่อทำการวินิจฉัย    จึงทำให้พวกเขาจะพลาดการแสดงโชว์ไป    นอกจากนี้   การดูตัวอย่างเลือดที่ทำ “การย้อมสี”    ตัวอย่างเลือดนั้นจะถูกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว    วิธีการนี้ถูกสอนในโรงเรียนแพทย์  และถูกใช้ในการวิจัย      สีย้อมเคมีช่วยให้มองเห็นบางอย่างชัดขึ้น เช่น ผนังเซลล์และนิวเคลียส   แต่เป็นการรบกวน  และไปมีผลต่อไมโครฟอร์มที่มีชีวิต, ที่เคลื่อนไหว และกำลังกินอาหารอยู่    พวกมันกลายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็น  หรือไม่สามารถระบุตัวตนได้    ดังนั้น ผู้ที่ดูจาก dead blood จึงอ้างถึงรูปแบบเหล่านี้ว่าเป็น “artifacts”, “ออร์แกเนลล์”, “ไมโครโซม” เป็นต้น      เมื่อบุคคลได้ทำการแก้ไขที่จำเป็นในการเรียกคืนภูมิประเทศภายในร่างกาย (terrain) ของพวกเขา    เลือดของพวกเขาจะถูกตรวจสอบอีกครั้งภายใต้กล้องจุลทรรศน์    เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเห็นได้ว่า  ไมโครฟอร์มที่ก่อตัวขึ้นนั้นลดลง  หรือถูกกำจัดให้หมดไป     สิ่งสำคัญที่สุดคือ  เราต้องจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับหน่วยชีวิตขนาดเล็กของเรา     เราต้องจัดการกับพวกมันในระดับเดียวกับพวกมัน    เพราะหลังจากนั้นพวกมันก็จะกลายเป็นสิ่งที่พวกมันต้องเป็น    และไม่มียาใด ๆ ที่จะหยุดการวิวัฒนาการของพวกมันอย่างสมบูรณ์ได้    เพราะถ้าทำได้  ก็คงเป็นจุดจบของโฮสต์เช่นกัน

Yeast, Fungus and Mold

         ยีสต์และเชื้อรา (fungus) เป็นรูปแบบของพืชเซลล์เดียว    อาศัยบนบก อากาศ และน้ำ มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง    Mold ซึ่งมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับทั้ง ยีสต์และเชื้อรา   คือระยะสุดท้ายของวัฏจักร pleomorphic ทั้งหมดในร่างกาย     เซลล์เชื้อราเซลล์เดียว  สามารถมองเห็นได้ภายใต้กล้องจุลทรรศน์เท่านั้น   แต่กลุ่มเซลล์เหล่านี้  สามารถมองเห็นได้ ในรูปของเห็ด, เห็ดมีพิษ และก้อนเชื้อราที่บางครั้งเราเห็นบนสิ่งต่างๆ    เป็นเวลาหลายร้อยล้านปี  ที่ยีสต์ เชื้อรา และ mold ได้พัฒนาเป็นรูปแบบที่สามารถระบุตัวตนได้กว่า 500,000 รูปแบบ    ในช่วงเวลานั้น   พวกมันมีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมเพียงเล็กน้อย    เห็นได้ชัดว่า  พวกมันไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน   เพราะพวกมันถูกสร้างขึ้นมาในฐานะนักฉวยโอกาสและผู้รอดชีวิต   และเหมาะสมอย่างยิ่งกับสิ่งที่พวกมันทำ     พวกมันสามารถเปลี่ยนจากการเติบโตอย่างรวดเร็วไปสู่การพักตัวนับพันปี     เราได้เห็นสปอร์ที่มีชีวิตซึ่งพบในอุโมงค์ฝังศพของอียิปต์    มีพื้นฐานทางชีววิทยาที่ดีสำหรับความสามารถโดยธรรมชาติของเราในการผลิตรูปแบบ pleomorphic เหล่านี้    ในขณะที่มนุษย์ พืชและสัตว์ชั้นสูงยังมีชีวิตอยู่    แบคทีเรีย, ยีสต์, เชื้อรา และ mold  จะไม่สามารถเอาชนะกลไกสมดุลตามธรรมชาติ  ที่รูปแบบชีวิตชั้นสูงเหนือกว่าได้    แต่เมื่อสิ่งมีชีวิตที่เป็นโฮสต์ตาย    ไมโครฟอร์มเหล่านี้จะเป็น “สัปเหร่อ” ที่ลดรูปแบบของสิ่งมีชีวิตขั้นสูงให้กลับคืนสู่สสารสามัญ           

         ในทางชีววิทยา เรียกว่าวัฏจักรคาร์บอน (carbon cycle) ซึ่งเป็นกระบวนการชีวิตที่จำเป็นและเป็นธรรมชาติ     เครื่องจักรรีไซเคิลเหล่านี้  ได้วิวัฒนาการมาจาก (และแท้จริงแล้วเป็นรูปแบบการกวาดล้างของ) ไมโครไซมา    และ microzymas นั้นอาศัยอยู่ตามธรรมชาติใน pleomorphic microforms  ทุกชนิด  เช่นเดียวกับในสิ่งมีชีวิตทั้งหมด     พวกมันเป็นรูปแบบของอินทรียวัตถุที่เสื่อมสลายลงจนถึงขั้นสูงสุดที่ไม่เสื่อมสลายอีกต่อไป       ยีสต์ และเชื้อรา  สามารถเริ่มต้นการครอบครองเราได้  ในขณะที่เรายังมีชีวิต    เนื่องจากไมโครไซมาได้รับสัญญาณทางเคมี จากภูมิประเทศภายในร่างกายที่เป็นกรด (acid terrain) ว่าสิ่งมีชีวิตนี้กำลังจะตาย  หรือกำลังสูญสลาย!       ร่างกายจะเป็นกรดตามธรรมชาติเมื่อตาย  หรือเมื่อเซลล์เริ่มเสื่อมสลาย    และหากไม่มีการหายใจ ออกซิเจนก็จะหมดไป     อาการหนึ่งของความไม่สมดุลของภูมิประเทศภายในร่างกาย (terrain) คือการขาดออกซิเจน     สิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการอย่างผิดปกติเหล่านี้  เจริญเติบโตได้โดยไม่ต้องใช้ออกซิเจน กล่าวคือ พวกมันเป็นแบบไม่ใช้ออกซิเจน     เราทำให้ตัวเองให้เข้าสู่การถูกยึดครองครั้งนี้ด้วยความเครียดต่างๆ หลักๆคือ จากการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมเป็นระยะเวลานาน  และ/หรือความเป็นพิษเรื้อรังอื่นๆ     การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และความคิดลบ, ความโกรธ ฯลฯ มีผลอย่างยิ่งในการทำให้เนื้อเยื่อเป็นกรด

         สิ่งมีชีวิตที่พัฒนาอย่างผิดปกติเหล่านี้กำลังกัดกินเราทั้งเป็นและก่อให้เกิดมลพิษอย่างแท้จริง    ประเด็นคือ   เราสร้างมลพิษให้ตัวเองก่อน   ดังนั้น  จึงสร้างโรคทางสรีรวิทยาอย่างหนึ่ง นั่นคือ ค่า pH ที่ไม่สมดุล/ความเป็นพิษในภูมิประเทศทางชีววิทยาในร่างกาย (biological terrain) ของเรา     สารพิษ และอาหารที่สร้างกรด  จะทำลายสมดุลเคมีในร่างกาย   และการสูญเสียความสมดุลนี้จะรบกวนสมดุลกลางของไมโครไซมา     การขาดสารอาหารสามารถมีผลเช่นเดียวกัน   แต่ก็สามารถสร้างขึ้นได้โดยการทำให้เป็นกรด     เว้นแต่จะเป็นอันตรายถึงชีวิตหรือสร้างความเสียหายอย่างถาวร   ความเป็นพิษเฉียบพลันในภูมิประเทศภายในร่างกาย (terrain) ที่มีสุขภาพดี  จะรบกวนสิ่งต่างๆ เพียงชั่วคราว  และรบกวนไมโครไซมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น   โดยจะกลับสู่สมดุลอย่างรวดเร็ว    แต่หากในสถานการณ์เรื้อรัง โรคหนึ่งจะตามมา:  ไมโครไซมาจะวิวัฒนาการไปสู่แบคทีเรีย และสุดท้ายกลายเป็นการแพร่ระบาดของยีสต์และเชื้อรา     ยีสต์และเชื้อรา  สามารถแทรกซึมเข้าไปในเลือดและเซลล์หรือเนื้อเยื่อใดๆ ได้ ส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ มากมาย     อาหารหลักของยีสต์และเชื้อราในร่างกายของเราคือ  น้ำตาลกลูโคสเป็นพลังงาน รวมทั้งไขมันและโปรตีน (แม้แต่กรดนิวคลีอิก ซึ่งเป็นสารพันธุกรรมของเรา) เพื่อการพัฒนาและการเจริญเติบโต    เมื่อสิ่งมีชีวิตเหล่านี้กินเข้าไป   พวกมันก็สร้างของเสียออกมา เหมือนกับที่เราทำ     “ปัสสาวะและอุจจาระ” ของพวกมันเรียกว่า  mycotoxins (myco = เชื้อรา; toxins = พิษ) และเป็นพิษต่อมนุษย์อย่างมาก!     พิษจาก mycotoxins ในร่างกายนี้เรียกว่า  mycotoxicosis      mycotoxins เองนั้นเป็นกรด  ทำให้ความเป็นกรดในร่างกายเพิ่มขึ้นอีกอย่างมากมาย     พวกมันจะถูกปล่อยเข้าสู่กระแสเลือดและภายในเซลล์     พิษในเลือดส่งผลให้เซลล์และเนื้อเยื่อเป็นพิษมากขึ้น   และทั้งหมดนี้รบกวนการทำงานของไมโครไซมา   ทำให้เรารู้สึกไม่สบายและเหนื่อยล้า    นอกจากนี้   เนื่องจากสารพิษเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นกรด   พวกมันจึงทำลายสมดุลทางเคมีของเซลล์และเนื้อเยื่อ

        อาการของโรคปรากฏขึ้นใน 2 โหมดหลัก:

(1) ความพยายามของร่างกายในการจัดการกับพิษ และ

(2) ผลของการกระทำของสารพิษต่อสารเคมีในร่างกาย เซลล์ และเนื้อเยื่อ

         การรวมกันของโหมดหลักทั้งสองนี้เป็นเรื่องปกติเช่นกัน     สารพิษส่วนใหญ่เป็นของเสียจากการเผาผลาญของยีสต์และเชื้อรา และรวมถึงสารพิษจากสารเคมีในสิ่งแวดล้อมจำนวนมากที่เราสัมผัส    Primary mycotoxins ถูกผลิตขึ้นโดยตรงจากสิ่งมีชีวิต   และ secondary mycotoxins  อาจเป็นผลิตภัณฑ์ที่สลายตัวหรือผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการรวมกันกัน    แม้ว่ายีสต์และเชื้อราจะสร้างความเสียหายส่วนใหญ่ในร่างกายได้   แต่ระยะก่อนหน้านั้น  หรือระยะของแบคทีเรีย  ก็สามารถสร้างผลกระทบได้มากด้วยตัวเอง  โดยของเสียจากการเผาผลาญ (exotoxins) ของพวกมัน  และส่วนประกอบทางเคมี (endotoxins) ของพวกมัน    รูปแบบของแบคทีเรีย  ไม่ได้พัฒนาไปเป็นเชื้อราเสมอไป และเชื้อราก็ไม่ได้กลายเป็น mold ซึ่งเป็นรูปแบบระยะสุดท้ายเสมอไป    มันขึ้นอยู่กับรูปแบบเฉพาะ  และสภาพของภูมิประเทศภายในร่างกาย (terrain)    นอกจากความสามารถของเราเองในการสร้างไมโครฟอร์มต่างๆ แล้ว    เรายังมีไมโครฟอร์มเหล่านี้เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจและลำไส้  เนื่องจากการสัมผัสกับโลกภายนอก     

        แม้ว่าระบบภูมิคุ้มกันจะเกิดความเครียด  และสูญเสียประสิทธิภาพในการต่อต้านยีสต์และเชื้อรา    แต่การต่อต้านการติดเชื้อไม่ใช่บทบาทหลักของมัน    มันไม่สามารถเป็น “แนวป้องกันแรก” ได้ตามที่คิดกันทั่วไป    เมื่อถึงเวลาที่ต้องรับมือกับเชื้อโรคในร่างกาย   ค่า pH ของภูมิประเทศในร่างกาย (terrain) ก็ลดลงแล้ว     ส่วนเดียวของระบบภูมิคุ้มกันที่สามารถเรียกได้ว่าเป็น “แนวป้องกัน” คือ  สิ่งที่อยู่ระหว่างภูมิประเทศภายในของเรากับสภาพแวดล้อมภายนอก – นั่นก็คือ  mucosal barrier     บทบาทหลักของการทำงานของภูมิคุ้มกันภายในคือ  การกำจัดขยะ    มันต้องเก็บและทิ้งสิ่งโสโครกอย่างต่อเนื่อง   รวมทั้งของเสียจากการเผาผลาญของร่างกาย    นอกจากนี้  ยังมีเศษเซลล์ 24 พันล้านเซลล์ที่ตายและถูกแทนที่ทุกวัน!     มันวิเศษมากที่ไม่เพียงแต่เก็บขยะเหล่านี้เท่านั้น   แต่มันยังนำมารีไซเคิลได้อีกด้วย    หากไม่มีบริการที่แสนวิเศษนี้    เราก็คงจะสำลักเศษขยะข้างในตายไปแล้ว    แต่ภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อ  ไม่สามารถสร้างสุขภาพที่ดีได้    ดังนั้นภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อจึงเป็นระบบสำรอง – หรือยางอะไหล่ หากคุณจะเรียก     ภูมิประเทศทางชีวภาพในร่างกาย (biological terrain) ที่สมดุล  เป็นอุปสรรคสำคัญต่อไมโครฟอร์มที่เป็นโรค     การที่เรามัวแต่ไปเน้นที่ภูมิคุ้มกัน  และกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกัน  เป็นอาการเมาค้างที่โชคร้ายจากทฤษฎีเชื้อโรค   

        ในระหว่างช่วงสุดโต่งของโรคน้ำกัดเท้า (Athlete’s Foot) หรือฮ่องกงฟุต  และโรคเอดส์   คืออาการของยีสต์และเชื้อราที่เติบโตเกินปกติในโรค เช่น เบาหวาน, มะเร็ง, ภาวะหลอดเลือดแข็ง (Atherosclerosis), โรคกระดูกพรุน, ความเหนื่อยล้าเรื้อรัง และอื่นๆ    รวมถึงการติดเชื้อที่ดูเหมือนจะติดต่อไปยังมนุษย์     อาการของโรคส่วนใหญ่, อาการเรื้อรัง และความเสื่อม  จะตามมาด้วยแบคทีเรีย ยีสต์และเชื้อรา ตลอดจน exotoxins และ mycotoxins ที่เกี่ยวข้อง    ในช่วงทศวรรษที่ 1930 และ 1940    อุตสาหกรรมเภสัชวิทยาได้ศึกษาสารประกอบมากถึง 1,000 ชนิด ที่จำแนกได้ว่าเป็น mycotoxins  ว่าเป็นยาปฏิชีวนะที่มีศักยภาพ    ส่วนใหญ่ไม่ผ่านการทดสอบ  เนื่องจากเป็นพิษมากเกินไปสำหรับรูปแบบสิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่จะนำมาใช้ในการรักษาอาการของแบคทีเรีย     การศึกษาความเป็นพิษเหล่านี้  ได้สรุปถึงอันตรายของสารเหล่านี้     สิ่งที่ถูกระบุคือ  สเปกตรัมทั้งหมดของอาการที่เกิดจาก mycotoxins!     นักวิจัยบางคนเชื่อว่า  มีสารพิษมากกว่าพันชนิดที่ผลิตโดยยีสต์ เชื้อรา และ mold      mycotoxin ชนิดหนึ่งที่สร้างความรำคาญใจเป็นพิเศษคือ  อะซีตัลดีไฮด์    มันค่อนข้างอันตรายในตัวเอง   แต่ยังเกิดเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆอีก (เรียกว่า  สารเมตาบอลิซึม) รวมถึงกรดออกซาลิก, กรดแลคติก, กรดยูริก และแอลกอฮอล์    ทั้งหมดเป็นของเสียที่เกิดจากยีสต์และเชื้อรา   และพบได้ในเลือด และเนื้อเยื่อของภูมิประเทศภายในร่างกาย (terrain) ที่ไม่สมดุล     การปรากฏตัวของ acetaldehyde และ mycotoxins อื่น ๆ   ทำให้ตับเพิ่มไลโปโปรตีนความหนาแน่นต่ำ (low density lipoprotein) ในเลือด               สารเชิงซ้อนที่มีคอเลสเตอรอลสูงนี้  ใช้เพื่อจับกับสารพิษ   จึงทำให้สารพิษหมดฤทธิ์     กระบวนการจับกับสารพิษนี้  มักถูกเรียกว่า  คีเลชั่น อย่างไรก็ตาม สารที่เป็นผลลัพธ์ของคีเลชั่นนี้  มีแนวโน้มที่จะเกิดปฏิกิริยาออกซิไดซ์และเกาะติดกับรอยโรค (ความเสียหายที่เกิดจากสารพิษ) ในผนังหลอดเลือด   ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็ง (Atherosclerosis)     แร่ธาตุยังใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการคีเลตด้วย         อะซีตัลดีไฮด์สามารถลดความแข็งแรงของร่างกาย   ทำให้เกิดความเหนื่อยล้ามากเกินไป   คิดอะไรไม่ค่อยออก      กลไกหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาเหล่านี้คือมันทำลายสารสื่อประสาทโดยตรง ซึ่งเป็นสารเคมีที่ทำหน้าที่กระตุ้นระบบประสาท     กลไกอีกประการหนึ่งคือ  มันสามารถจับกับผนังเซลล์ของเม็ดเลือดแดง ทำให้เม็ดเลือดแดงมีความยืดหยุ่นน้อยลง    ดังนั้น  จึงไม่สามารถเข้าและผ่านเส้นเลือดฝอยของระบบไหลเวียนโลหิตได้ ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนลดลง  และขาดออกซิเจนได้     ปัญหาเพิ่มเติมคือ  ตับเปลี่ยน acetaldehyde เป็น mycotoxin alcohol

        ดีเอ็นเออาจเสียหายได้เช่นกันเมื่อมีอะซีตัลดีไฮด์มากเกินไป และไปทำปฏิกิริยากับมัน   โดยอาจเกิดอาการดังต่อไปนี้: ตับอ่อนอักเสบ, กล้ามเนื้อหัวใจตาย, โรคกล้ามเนื้อหัวใจชนิดห้องหัวใจขยายตัวผิดปกติ (Dilated cardiomyopathy : DCM), ภาวะสมองเสื่อม/เหี่ยว/ฝ่อ, สมองฝ่อที่มีโพรงขนาดใหญ่, โรคดีซ่าน, spider angina, ม้ามโต, แผลในกระเพาะอาหาร, เส้นเลือดขอดที่หลอดอาหาร, น้ำในช่องท้อง , โรคตับแข็ง, อาการสั่น (tremor), แนวโน้มเลือดออก, ช้ำ, ข้อเท้าบวม, และ reddening of the palms  และอื่น ๆ    อีกตัวอย่างหนึ่งของผลเสียของของเสียจากยีสต์และเชื้อราคือ mycotoxin cyclosporin        สารพิษนี้ไปกดภูมิคุ้มกันอย่างมาก  จนถูกนำมาใช้เพื่อป้องกันการปฏิเสธอวัยวะที่ปลูกถ่าย     แต่คนไม่ค่อยได้รับมันโดยตรงจากเชื้อรา   แต่ได้รับจากแพทย์ที่ทำการปลูกถ่ายอวัยวะให้ผู้ป่วย     ไซโคลสปอริน  แสดงให้เห็นว่า  ทำให้เกิดมะเร็งและ ภาวะหลอดเลือดแข็ง (Atherosclerosis) ในทุกคนซึ่งรอดชีวิตจากการปลูกถ่ายอวัยวะมาเป็นเวลานาน      mycotoxins อื่นๆ เช่น กรดยูริก และกรดออกซาลิก กระตุ้นให้เกิดอาการต่างๆ  ตั้งแต่โรคเกาต์  ไปจนถึงนิ่วในไต   มะเร็ง และโรคเอดส์นั้น  ไม่มีอะไรมากหรือน้อยไปกว่า  การรบกวนสมดุลทางแม่เหล็กไฟฟ้าของเซลล์, ความไม่เป็นระเบียบของไมโครไซมาในเซลล์, การวิวัฒนาการที่ผิดปกติของพวกมันสู่แบคทีเรีย ยีสต์ เชื้อรา และ mold   และการผลิต exotoxins และ mycotoxins ที่ตามมา มะเร็งจึงเป็นคำที่มีอักษรสี่ตัว นั่นคือ acid   โดยเฉพาะกรดแลคติก ซึ่งเป็นของเสียจากยีสต์และเชื้อรา

        ปริมาณกรดยูริก และอะซีตัลดีไฮด์ที่ผลิตโดยยีสต์และเชื้อรา  อาจมากเกินไปที่ร่างกายจะรับไหว          เมื่ออะซีตัลดีไฮด์ถูกเปลี่ยนเป็นแอลกอฮอล์ในตับ    ร่างกายจะขาดแมกนีเซียม, กำมะถัน, ไฮโดรเจน และโพแทสเซียม ซึ่งทำให้พลังงานของเซลล์ลดลง     ร่างกายขับกรดยูริกและสารพิษอื่นๆ ด้วยไขมัน ทำให้คอเลสเตอรอล LDL เพิ่มขึ้น    ในการปรับสมดุลที่คล้ายกัน   ร่างกายจะทำปฏิกิริยาทางเคมีเพื่อทำให้กรดยูริกเป็นกลาง  โดยจับกับแร่ธาตุต่างๆ เช่น โพแทสเซียม, แมกนีเซียม, โซเดียม, สังกะสี และแคลเซียม    กระบวนการนี้ทำให้ปริมาณแร่ธาตุลดลง  และทำให้เกิดการขาดแร่ธาตุบางชนิดได้     เชื้อราที่ขัดขวางเซลล์เม็ดเลือดแดง  ส่งผลให้ออกซิเจนลดลง    ยิ่งมีออกซิเจนในร่างกายน้อยลงเท่าใด แอลกอฮอล์ก็จะยิ่งถูกผลิตมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งอาจทำให้มีอาการเมา มึนงง เวียนหัว หรือสับสนทางจิตใจได้     อะซีตัลดีไฮด์ลดพลังงานของเซลล์ลงอีก  เพราะทำลายเอนไซม์ที่จำเป็น           ระบบภูมิคุ้มกันถูกกระตุ้นให้พยายามทำให้เป็นกลางและยับยั้งยีสต์และเชื้อรา  โดยการปล่อยอนุมูลอิสระจำนวนมาก       หากมลภาวะในร่างกายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง    การตอบสนองของภูมิคุ้มกัน กระบวนการทำความสะอาดบ้านที่น่าทึ่งของเรา   ในที่สุดก็จะทำงานหนักเกินไปและหมดแรง        ดังนั้นปัญหาทางภูมิคุ้มกัน และภาวะติดเชื้อทั้งหมด จึงเกิดขึ้น หรือแย่ลงจากการมี mycotoxins     ยีสต์และเชื้อราใช้ประโยชน์จากบริเวณที่อ่อนแอของร่างกายด้วยการปล่อยพิษ  และทำให้ร่างกายต้องทำงานมากเกินไป   และโดยการแทรกซึมของเซลล์โดยตรง       ยีสต์และเชื้อรามีความสามารถในการเปลี่ยนรูปร่างที่แปลกประหลาด จนกลายเป็นลูกศรขอบแข็งได้      เมื่อแปลงร่างแล้ว      พวกมันสามารถพุ่งเข้าไปในเซลล์ของร่างกายอย่างดุดัน   แม้กระทั่งเจาะเข้าไปในนิวเคลียส

        เชื้อราสามารถทำลายโครงสร้างทางพันธุกรรมได้โดยการใช้มันเป็นอาหาร    ในที่สุด เซลล์อาจถูกเปลี่ยนทั้งหมด  จากเมแทบอลิซึมของการหมักตามปกติ (เมแทบอลิซึมของปฏิกิริยาออกซิเดชัน) ไปเป็นเมตาบอลิซึมของการหมักที่ผิดปกติ (ไม่ใช้ออกซิเจน)–  นั่นคือ  มะเร็ง เนื่องจากมะเร็ง  เริ่มต้นจากการเป็น systemic condition ที่เกิดขึ้นเฉพาะที่   ไม่ใช่โรคเฉพาะที่ ที่แพร่กระจาย       มะเร็งจึงปรากฏในจุดอ่อนของร่างกาย     บริเวณเหล่านี้เป็นเหมือนเขตมรณะ    พวกมันมีประจุแม่เหล็กไฟฟ้าที่ลดลง      เซลล์ที่มีสุขภาพดีนั้นจะมีประจุทางแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นลบ    เซลล์หมัก (fermentative cells) และกรดของพวกมัน  มีประจุทางแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นบวก        เซลล์ที่เน่าเปื่อยและกรดของพวกมันทำหน้าที่เป็นเหมือนกาว ซึ่งทำให้เซลล์ที่แข็งแรงสามารถดึงดูดและเกาะติดกัน   ซึ่งนำไปสู่การได้รับออกซิเจนลดลง  และการรบกวนและความไม่เป็นระเบียบของเซลล์ที่แข็งแรงมากขึ้น    พูดง่ายๆ เซลล์ที่แข็งแรงเริ่มเน่า!   เซลล์ที่หมักแล้ว (Fermented cells) สามารถกระตุ้นการหมักของเซลล์อื่นๆ ได้  โดยการแทรกซึมของเชื้อรา  หรือโดยการเป็นพิษกับเซลล์เหล่านั้น และกระตุ้นให้เกิดการวิวัฒนาการที่ผิดปกติของไมโครไซมา        การตัดชิ้นเนื้อ  เป็นสาเหตุสำคัญของสิ่งนี้  โดยการเจาะแคปซูล (เนื้องอก) ที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อแยกมวลที่เป็นโรคออก   แต่มันก็สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยตัวเอง         ร่างกายกำลังเน่าเสีย หมักหมม หรือเน่าเปื่อย – ปั้นได้เหมือนครีมชีส

        ในการชันสูตรพลิกศพผู้ป่วยมะเร็งทั้งหมด    จะพบกรดแลคติก  หรือยีสต์, เชื้อราและ mold  และบางครั้งก็พบทั้ง 2 อย่าง     บางทีอาจจะไม่มีอะไรเชื่อมโยงกัน   แต่วิทยาศาสตร์การแพทย์ อย่างน้อย กำลังเริ่มที่จะสังเกตเห็น ความสำคัญของกรดแลคติกและยีสต์ ที่พบในมะเร็ง พวกมันมีอยู่ในมะเร็ง   แต่ก็มีอยู่ในเลือดก่อนเกิดมะเร็ง และอาจไม่มีอาการอื่นใดเลย!    หวังว่านักชีววิทยาจะตั้งคำถามว่า  เหตุใด และอย่างไร  ที่ยีสต์เข้าสู่เลือดของคนๆ หนึ่งตั้งแต่แรก   แทนที่จะทำการวิจัยดีเอ็นเอที่มีราคาแพง  เพื่อดูว่าพวกเขาสามารถฆ่ามันได้หรือไม่      นี่คือข้อจำกัดที่มีอิทธิพลมาจากทฤษฎีเชื้อโรค   ซึ่งใช้เงินหลายล้านเพื่อกำจัดอาการของความเข้าใจผิดด้านอาหารและโภชนาการ   โดยไม่ทราบว่า  มนุษย์เองเป็นแหล่งหลักของยีสต์     ปรสิตหลัก 2 ชนิดในโรคติดเชื้อ และโรคจากความความเสื่อมทั้งหมดคือ  สายพันธุ์ Aspergillus และสายพันธุ์ Mucor     รูปแบบที่ผิดปกติเหล่านี้  สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วเมื่อสภาวะเปลี่ยนแปลงไป          พวกมันสามารถเปลี่ยนกลับเป็นสถานะเดิมได้  หลังจากเสร็จงานแล้ว     กรดแลคติกจำนวนมาก – ซึ่งเป็นของเสียจากไมโครฟอร์มมะเร็ง – จะล้อมรอบเนื้องอกมะเร็งทุกก้อน    แต่ไมโครฟอร์มนั้นอาจมีหรือไม่มีอยู่ตรงนั้นก็ได้

283 Shares